ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มิถุนายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ดนตรี |
เผยแพร่ |
ผลงานเดี่ยวชุดที่ 13 ของศิลปินอเมริกันที่รู้จักในคุณภาพกันเป็นอย่างดี พอล ไซมอน ในชื่อว่า “Stranger to Stranger” มากับเสียงชื่นชม ส่วนผลสำเร็จด้านการขายต้องเกาะติดกันไป ผลงานเดี่ยวที่ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ของไซมอนก่อนหน้านี้ คือ The Rhythm Of The Saints เมื่อปี 1990 หรือ 26 ปีก่อน
และก่อนหน้านั้นอีกก็คือ Graceland เมื่อ 1987 และ Paul Simon ในปี 1972
สำหรับ Stranger to Stranger ชุดนี้ มี แอนดี้ สมิธ กับ รอย เฮลี เป็นโปรดิวเซอร์ ในสังกัดคอนคอร์ดส์ เร็กคอร์ดส์ ไซมอนใช้เวลาหลายปีแต่งเพลงเหล่านี้ เกลาและเขียนใหม่ จนได้เพลงที่ถูกใจ
กลายเป็นที่มาของซาวด์ที่แปลกใหม่ ก็ไม่ธรรมดาที่คนในวัย 74 ยังกล้าที่จะคิดอะไรใหม่ๆ แทนที่จะหาเพลงเก่าๆ มาร้องและอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยต่อไป ในอินเตอร์เน็ตจะเห็นเสียงชื่นชมโดยทั่วไป รวมถึงคลิปการแสดงสดเพลงในผลงานนี้ในยูทูบและเว็บดนตรีหลายแห่ง
พอล ไซมอน (Paul Frederic Simon) เกิดที่นิวเจอร์ซีย์ เมื่อ 1941 เดือนตุลาคมนี้อายุจะครบ 75 ปี เชื้อสายยิวฮังกาเรียน พ่อเป็นอาจารย์สอนในวิทยาลัย เป็นนักเล่นเบสอัพไรต์ และเป็นหัวหน้าวงดนตรีเต้นรำ ส่วนแม่เป็นครูโรงเรียน
โดนัลด์ เฟเก้น แห่งวงสตีลลี่แดน อธิบายถึงไซมอนในวัยเด็กว่า เป็นไปตามแบบแผนของชาวยิวในนิวยอร์ก ซึ่งดนตรีและเบสบอล เป็นเรื่องสำคัญมาก
แฟนเพลงรู้จักไซมอน ในฐานะหนึ่งในไซมอนแอนด์การ์ฟังเคิล ซึ่งเริ่มต้นเมื่อ 1964 และสร้างผลงานชั้นดี ที่ยังรู้จักมาจนปัจจุบัน โดยเฉพาะเพลงที่เข้าอันดับ 1 ในชาร์ตมาแล้ว อาทิ The Sound of Silence, Mrs. Robinson และ Bridge over Troubled Water
ทั้งคู่แยกทางกันในปี 1970 ทำงานเดี่ยวและมีผลงานประสบความสำเร็จอีกไม่น้อย
ภายหลังจากแยกตัว ทั้งคู่ให้สัมภาษณ์วิพากษ์วิจารณ์โจมตีอีกฝ่ายอยู่บ่อยๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ บางเรื่องอาจสะสมจนกลายเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเมื่อย้อนกลับไปรำลึก แต่มิตรภาพจากวัยเด็กของทั้งคู่ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดูโอคู่นี้ โด่งดังขึ้นมา
ไซมอนรู้จักกับ อาร์ต การ์ฟังเคิล ตั้งแต่อายุ 11 เล่นละคร ร้องเพลง ในโรงเรียนมาด้วยกัน ไอดอลของทั้งคู่ คือ ดิ เอฟเวอร์ลี่ บราเธอร์ส ซึ่งทั้งสองเลียนแนวการร้องประสานเสียง ไซมอนยังสนใจดนตรีแจ๊ซ บลูส์ โดยเฉพาะดนตรีของ วูดดี้ กัทธรี และ เลดเบลลี่
ไซมอนแต่งเพลงร้องกับการ์ฟังเคิล เมื่ออายุ 12-13 ปี เพลงแรกคือ The Girl for Me ที่ฮิตในละแวกบ้าน พ่อของไซมอนเขียนเนื้อเพลงและคอร์ดลงกระดาษเพื่อให้สองคนใช้ และกลายเป็นผลงานที่มีลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการเพลงแรกของทั้งคู่ ปัจจุบันกระดาษดังกล่าวเก็บไว้ในห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน และต่อมา ทั้งคู่ใช้ชื่อ Tom & Jerry บันทึกเสียงเพลง Hey, Schoolgirl เข้าถึงอันดับ 49 ในชาร์ตเพลงป๊อป
หลังจากจบไฮสกูล ไซมอนเรียนที่ควีนส์คอลเลจ ก่อนได้ดีกรีด้านวรรณคดี เข้าเรียนโรงเรียนกฎหมายอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนออกมาเล่นดนตรี ส่วนการ์ฟังเคิลเรียนคณิตศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่แมนแฮตตัน
ไซมอนได้แกรมมี่มาแล้ว 12 รางวัล ทั้งจากงานเดี่ยวและผลงานอื่น และได้รับยกย่องเกียรติยศด้านดนตรีอีกหลายรางวัล รวมถึงหอเกียรติคุณร็อกแอนด์โรล นิตยสารดนตรีโรลลิ่งสโตน ยกย่องให้เป็น 1 ใน 100 นักกีตาร์ผู้ยิ่งใหญ่ และ 1 ใน 100 นักแต่งเพลง
เพลงในอัลบั้มนี้ เริ่มแต่งหลังจาก So Beautiful or So What อัลบั้มชุดที่ 12 ออกในปี 2011 และมี 3 เพลงที่ไซมอนร่วมกับ Clap! Clap! ศิลปินอิเล็กทรอนิกส์อิตาเลียน ที่ลูกชายไซมอนชื่นชอบและแนะนำให้รู้จัก นั่นคือ The Werewolf, Street Angel และ Wristband
สำเนียงของดนตรีเป็นแนวทดลอง จังหวะที่ผสมอิเล็กทรอนิกส์บีต เข้ากับเครื่องดนตรีวู้ดวินด์ของแอฟริกา กลองเปรู วงกอสเปลแบบควอเทต เครื่องเป่า ซินธ์
เครื่องดนตรีหลายอย่างเป็นคัสตอมเมด หรือสั่งทำพิเศษ และเก็บไว้ที่มหาวิทยาลัยมอนต์แคลร์ ทำให้การบันทึกเสียงบางช่วง ต้องย้ายเข้าไปยังที่เก็บเครื่องดนตรีเหล่านี้
11 เพลงในอัลบั้มนี้ ประกอบด้วย The Werewolf, Wristband, The Clock, Street Angel, Stranger to Stranger, In a Parade, Proof of Love, In the Garden of Edie, The Riverbank, Cool Papa Bell และ Insomniac”s Lullaby
เป็นผลงานจากศิลปินที่ตั้งใจเสนอความแปลกใหม่ ซึ่งน่าจะต้องติดตามกัน