2503 สงครามลับ สงครามลาว (45)/บทความพิเศษ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

 

2503 สงครามลับ

สงครามลาว (45)

 

บันทึก “นรกบ้านนา” ของ “หัวหน้าใจ” ร.ท.ประจักษ์ วิสุตกุล ต่อไป…

“ผมเร่งดัดแปลงพื้นที่อย่างเร่งด่วน เราทำบังเกอร์กันแทบทุกวัน ต้องลงไปตัดไม้ซุงจากหุบด้านล่างแบกมาทำบังเกอร์ให้แข็งแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลวดหนามแทบจะไม่มี เห็นฐานปืนใหญ่มีลวดหนามถึงสามชั้นรู้สึกอิจฉาเพื่อนมาก

เราหาลวดหนามเท่าที่จะหาได้แต่มีน้อยมาก และต้องยืดให้ห่างที่สุดเพื่อให้ยาวตลอดแนวป้องกัน ด้วยความจำเป็นบางครั้งก็ขโมยลวดหนามที่ส่งมาให้ฐานปืนก็มี เพื่อป้องกันตนเอง

จุดไหนไม่มีก็สร้างเครื่องกีดขวางใช้ไม้ทำขวากและของมีคมทั้งหลาย ตะปู แก้ว เท่าที่จะหามาได้

การขอยุทโธปกรณ์ป้องกันฐานไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยเหนือเท่าที่ควร

ผมและผู้ใต้บังคับบัญชาดัดแปลงที่มั่นตั้งฐานหมวดอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ ทั้งเครื่องกีดขวาง ลวดหนาม คูสนามเพลาะ ที่ตั้งปืนกลเอ็ม 60 คลังกระสุนของหมวด บังเกอร์ บก.หมวด บังเกอร์พยาบาล มีความสวยงามและแข็งแรงพอสมควร

แต่มีแนวรั้วลวดหนามเท่านั้นที่บาง บางจุดวางเพียงขดเดียว เสาก็ใช้ไม้ไม่แข็งแรง ไม่มีลวดหนามเส้นเลย มีแต่ลวดหนามหีบเพลง ผมได้ทำหอคอยสูงเพื่อใช้ตรวจการณ์อยู่หลัง บก.หมวด ดูเด่นมาก ฐานก็เป็นแนวดูกลมสวยงามเข้ากับเนินพอดี

ตามแนวคูสั่งให้ทำสายเสียบลูกระเบิดขว้างตลอดแนว และเตรียมระเบิดไว้พร้อมซึ่งผมขนมาจากฐานเก่าเป็นจำนวนมาก

คูเรด (คูสนามเพลาะ/บัญชร) ลึกพอดียืนและแคบพอเคลื่อนที่ได้ มีการขุดคูเชื่อมต่อจากหมู่ต่างๆ มายัง บก.หมวดโดยไม่ต้องใช้การเคลื่อนที่ข้างบน และสามารถติดต่อกันได้ทุกหมู่

ระหว่างการดำเนินการดัดแปลงพื้นที่สร้างฐาน ข้าศึกได้ยิงปืนใหญ่รบกวน คาดว่าขนาด 85 ม.ม. ทั้งกระสุนควันและแตกอากาศ เราต้องคอยระวังตลอดเวลา บางครั้งก็ยิง ค. 82 ม.ม.เป็นชุด เราต้องคอยฟังเสียงและเข้าหลบในบังเกอร์

ที่อันตรายที่สุดคือ ปรส. 75 และ 85 ของข้าศึก ได้ยินเสียงกระสุนก็มาถึงแล้ว ต้องระวังไม่อยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนและเป็นเป้าหมายของ ปรส. และ ค.

อันตรายที่สุดตอนที่ ฮ.มาส่งเสบียงจะต้องถูกโจมตีจาก ค. 2-3 ชุดเสมอ และไม่ได้ยินเสียงการยิง เสียง ฮ.กลบหมด

ที่ตั้งอาวุธหนักข้าศึกอยู่ตามเนินเขารอบบ้านนา ทั้ง ค.และ ปรส. ส่วน ป. คาดว่ายิงมาจากทุ่งไหหินด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ฝ่ายเราตอบโต้ด้วยปืนใหญ่ทำให้ข้าศึกไม่กล้าเปิดเผยที่ตั้งยิงบ่อยนัก นอกจากนั้น การขอเครื่องบินโจมตีทั้งแฟนทอมและสกายเรดเดอร์ หรือไม่ก็ ที 28 ของลาวมาโจมตีทิ้งระเบิด ทำให้ข้าศึกหยุดรบกวนลงบ้าง

ฝ่ายเราเริ่มมีการบาดเจ็บและเสียชีวิตบ้างแล้วจากการโจมตีด้วยอาวุธหนักรบกวน เมื่อ บ.ฝ่ายเรามาจะเกิดศึกหนักทุกครั้ง โดยเฉพาะการยิงต่อสู้ของ ปตอ. 50 ม.ม.ของข้าศึกยิงสวนขึ้นไปเห็นแนวกระสุนส่องวิถีชัดเจน

ข้าศึกสู้อย่างไม่กลัวตาย (ภายหลังทราบว่าพลยิงถูกล่ามโซ่กับปืน) ถ้าระเบิดโดนเป้าหมาย ปตอ.ข้าศึกจะเงียบทันที เป็นที่รู้กันว่าเรียบร้อย”

 

คืนนรกที่ยาวนานที่สุดในชีวิต

ผมมารักษาพื้นที่ บก.พัน ที่บ้านนาเกือบเดือนแล้ว ทำฐานที่มั่นดัดแปลงพื้นที่แข็งแรงพอสมควร มีการลาดตระเวนในรัศมี 1 ถึง 2 ก.ม.รอบฐาน

หมวดผมขึ้นการบังคับบัญชากับผู้พันโดยตรง (พ.ท.ไพศาล คำสุพรหม) ท่านเคยมาเยี่ยมและชมว่าฐานผมสวยดี ฐานผมติดกับฐานแม้วและใกล้ฐานปืนใหญ่ ฐานกองพัน บก.พัน อยู่ด้านทิศเหนือชิดขอบเขาที่ลาดชันมาก ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของฐาน บก.พัน เป็นฐานกองร้อย มี บก.ร้อย บีไอ-15 กับหมวด 2 ร.ต.เหิร (นามสกุล “วรรณประเสริฐ” ยศสุดท้ายพลเอก อดีตแม่ทัพภาคที่ 2/บัญชร) เป็น ผบ.หมวด ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ห่างจาก บก.พันประมาณ 500 ถึง 600 เมตร

ข้าศึกได้หยุดยิงรบกวนเรามาแล้ว 2 วัน บรรยากาศรู้สึกเงียบผิดปกติ โดยเฉพาะในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2513 เงียบมาก

ผมตรวจดูลูกน้องตามหมู่ต่างๆ เป็นปกติทุกวัน ดูแนวป้องกันของแต่ละหมู่ หมวดผมมีหมู่ ค.สมทบด้วย กำลังในหมวดจึงมีทั้งหมด 52 นาย

ผมกำชับเรื่องเวรยามกับหมู่ต่างๆ การวางเคลย์โมร์และเครื่องกีดขวางและสัญญาณบอกฝ่ายของแต่ละวัน

จนกระทั่งเริ่มมืด อากาศในเดือนพฤศจิกายน เป็นฤดูหนาวอุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส ผมมักจะนอนดึกประมาณ 5-6 ทุ่มทุกวัน แล้วออกมาตรวจเวรยามของแต่ละหมู่ทุกคืนโดยเฉพาะเวลาก่อนเข้านอน

กลางคืนที่บ้านนามีแต่ความเงียบสงัด นานๆ จะมีการยิงแฟลร์ส่องสว่างจาก ป.ของเราเพื่อตรวจการณ์ข้าศึก

ใกล้ 6 ทุ่มแล้วผมจะเข้านอนตามปกติในชุดกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดคอกลม ผมใช้ถุงนอนขนไก่จึงนอนชุดนี้ได้

ผมงีบหลับไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่ต้องสะดุ้งแบบฉับพลันและรีบออกมาจากถุงนอนทันทีเพราะฐานผมสะเทือนไปด้วยเสียงระเบิด บึ้ม…บึ้ม ตลอดเวลาจนฝุ่นฟุ้งกระจายเต็มบังเกอร์ ผมแทบหายใจไม่ออก รวมทั้งกลิ่นดินปืนฟุ้งเต็มไปหมด

ฐานผมเกิดอะไรขึ้น

ผมเผ่นออกจากบังเกอร์โดยลืมคว้าเอ็ม 16 ประจำตัวติดมาด้วย มาแต่ตัวโดยใส่เสื้อทหารเวสต์มอร์แลนด์เท่านั้น เผ่นออกมายังหน้าบังเกอร์ซึ่งเป็นที่ตรวจการณ์หมวด

ผมตะโกนถามหมู่ข้างหน้าผม “เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ” ไม่มีใครตอบ มีแต่เสียงระเบิดกึกก้อง ฝุ่นและควันดินปืนฟุ้งเป็นหมอกควันเต็มไปหมด

ทันใดนั้นก็เกิดระเบิดขึ้นที่ตัวผมอย่างรุนแรงหลังจากที่ผมตะโกนถาม ความรู้สึกเหมือนถูกมือยักษ์ตบบ้องหูทั้งสองข้างอย่างแรง มันเจ็บแปลบและมึนงงไปหมด

รู้แต่ว่าเหมือนจิตวิญญาณผมล่องลอยออกจากร่าง ลอยเคว้งคว้างอยู่ข้างบนในความมืด ความรู้สึกมืดครึ้มวังเวง แล้วเกิดความรู้สึกรู้ตัวว่าเราโดนระเบิดนี่ เอ๊ะ…นี่เราตายแล้วนี่ มันล่องลอยมืดครึ้มไปหมด ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย งั้นเรากลับบ้านดีกว่า เพราะคิดถึงบ้านมาก มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

หลังจากนั้นผมไม่ทราบว่านานเท่าไหร่ที่ความรู้สึกมันกลับคืนมา พบว่าตัวเองนอนกองอยู่บนพื้นดินในหลุมหน้าบังเกอร์ จึงรู้ว่าผมยังไม่ตาย

แล้วสติผมกลับมาอีกครั้ง

ผมคลานกระเสือกกระสนเข้าไปในบังเกอร์ที่นอนและเข้าไปนั่งบนเตียงสนาม ความรู้สึกยังมึนงง นั่งเอามือปิดหูทั้งสองข้างเพราะยังเจ็บปวดมาก แล้วนั่งก้มหน้าเหมือนไม่รับรู้อะไรแล้ว รู้แต่ว่ายังมีเสียงระเบิด บึ้ม…บึ้ม รอบตัวผมตลอดเวลา ฝุ่นและควันปิดคลุมมิดห้องบังเกอร์

ทันใดนั้นมีแสงส่องสว่างสว่างขึ้นจากแฟลร์ ไม่ทราบว่าของเราหรือของข้าศึก และผมได้ยินเสียงคนพูดไม่เป็นภาษาคน เป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ เหมือนกำลังตะโกนบอกกันไปหมดและโผล่หน้ามองมาที่ผมตรงช่องทางเข้าบังเกอร์ด้านหลัง ผมก็หันไปเจอกับหน้ามันที่โผล่เข้ามาพอดี 3-4 คนแล้วกำลังชี้มือมาที่ผม เหมือนกับจะบอกกันว่า มันอยู่นี่ หัวหน้ามันยังอยู่นี่

ผมเห็นหน้าพวกมัน ผมจึงรู้ว่า…เฮ้ย นี่มันพวกข้าศึก มันบุกมาถึงตัวแล้ว มันพรางหน้าดำใส่หมวกผ้าเย็บด้วยผ้าร่มพรางทุกคน ด้วยสัญชาตญาณหนีตาย ผมพุ่งตัวออกจากบังเกอร์ทันที และพุ่งตัวลงไปในคูเรดหน้าแนวรั้วลวดหนาม

และการต่อสู้แบบถวายชีวิตของผมก็เริ่มขึ้น