อ่านเกม ‘โทนี่’ เปิดซักฟอกนอกสภา รัวกระสุนการเมืองใส่รัฐบาล ‘ธรรมนัส’ เปิดซักฟอกใน พปชร.

บทความในประเทศ

 

‘โทนี่’ เปิดซักฟอกนอกสภา

รัวกระสุนการเมืองใส่รัฐบาล

‘ธรรมนัส’ เปิดซักฟอกใน พปชร.

ถล่ม ‘ไอ้ห้อยไอ้โหน’ ปลุกกระแสล้ม ‘ตู่’

 

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด ฝ่ายค้านตั้งความหวังถึงขนาดว่าจะสามารถล้มรัฐบาลนี้ได้ในการอภิปรายครั้งนี้ จึงเป็นที่น่าจับตาจากสังคม

ศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในรอบนี้ ทักษิณ ชินวัตร หรือโทนี่ ก็ไม่พลาด เปิดซักฟอกนอกสภาไม่ไว้วางใจประยุทธ์ โดยได้ร่วมเสวนาในคลับเฮาส์ของกลุ่ม CARE คิด เคลื่อน ไทย เป็นครั้งที่ 14 ในตอน “ขอไม่ไว้วางใจประยุทธ์ด้วยอีกคน” คู่ขนานกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐสภา

โดยโทนี่ประเมินการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันแรกว่า การโหมโรงของเพื่อไทยค่อนข้างดีมาก ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคและเลขาฯ พรรค ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ก็ตอบของท่านได้ดื้อๆ ดี วันนี้ผมขอไม่ไว้วางใจด้วยกัน

 

โทนี่เปิดเรื่องด้วยการวิจารณ์การทำงานของประยุทธ์ ยืนยันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นสะท้อนว่าประยุทธ์ไร้ความสามารถ

“คุณประยุทธ์ตอนนี้มาทำหน้าที่นายกฯ มันอยู่ในตำแหน่งที่เกินขีดความสามารถของท่าน ประสบการณ์เป็นทหารอย่างเดียว เรื่องอารักขาเก่ง ร้องเพลงเก่ง แต่เรื่องรบไม่เคยรบ ได้เลื่อนมาจนเป็น ผบ.ทบ. โลกทัศน์มันแคบ ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การค้าการลงทุน โลกาภิวัตน์ ผมไม่เชื่อว่าประยุทธ์ตามทัน เดี๋ยวนี้ระบบราชการก็อ่อนแอ คุณประยุทธ์ก็ชอบรวมศูนย์ และไม่มีความสามารถในการแบ่งงาน ทุกอย่างขอรวมศูนย์ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะองค์กรมันใหญ่ จะทำให้ไม่รู้ทุกเรื่อง ยิ่งไม่ลงพื้นที่ยิ่งไม่รู้”

“วันนั้นดีใจที่คุณประยุทธ์ไปลงพื้นที่หน่อย แต่ดันไปโรงพยาบาลจุฬาฯ ความจริงท่านต้องลงไปที่สาหัสหน่อย”

โทนี่กล่าวต่อว่า คุณประยุทธ์นั้นสรุปคือ

1. ประสบการณ์ท่านแคบกับโลกปัจจุบัน

2. อยู่ในตำแหน่งที่เกินขีดความสามารถ

และ 3. ไม่มีความสามารถในการกระจายงาน และมองประชาชนเหมือนเป็นพลทหาร

 

โทนี่ยังได้แนะนำยุทธศาสตร์ว่า ต้องเตรียมตัวเข้าสู่นิวนอร์มอลแล้ว ถ้าไม่เข้าสู่นิวนอร์มอล ประเทศจะเอาตัวไม่รอด เริ่มต้นจาก People Empowerment คือ ให้อำนาจประชาชนในการลิขิตชีวิตเขาเอง ท่ามกลางวิกฤตโควิด อำนาจประชาชนคือ ต้องมีวัคซีน ให้มีภูมิคุ้มกันที่เพียงพอ

โทนี่ยังกล่าวด้วยว่า “วันนี้ประชุมก็บอก สวดมนต์ ไม่ได้ทำผิดอะไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน สวดมนต์ทำผิดก็มี ไม่จำเป็นต้องไม่ทำผิดหรอก คนเราในชีวิตก็ผิดพลาดได้ แต่วันนี้สิ่งที่ท่านผิดคือ เหนียวเกาะเก้าอี้ โดยที่ทำงานไม่ได้ วันนี้ท่านควรจะเสียสละ หาคนช่วยบ้านเมืองเถอะ ผมไม่ไว้วางใจท่านแน่นอน”

ต่อมา โทนี่ยังกล่าวต่อว่า ท่านอย่าให้คนไทยอ่อนแอกว่านี้เลย ให้คนไทยแข็งแรงมากขึ้นได้แล้ว วิธีดีที่สุดคือ ฉีดวัคซีนโดยเร็ว ระบบตรวจให้ทั่วถึง และยาใหม่ๆ วัคซีนใหม่ที่กันเชื้อกลายพันธุ์ อะไรเร่งด่วน จะไปยืมเขามาก็ได้

แต่เหมือนโทนี่จะเข้าใจว่าการเมืองในระบบรัฐสภาอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาถึงวิธีที่จะกดดันให้ประยุทธ์ออก

“วิธีที่จะให้ประยุทธ์ออก ดีที่สุด ง่ายที่สุด ไม่ต้องโดนแก๊สน้ำตา กระสุนจริง กระสุนยางนั้น ประชาชนที่อยากเปลี่ยนนายกฯ ทุกเขตเลือกตั้ง ไปหา ส.ส. บอก ส.ส.เลยว่า อย่ายกมือไว้วางใจประยุทธ์ ถ้าไว้วางใจประยุทธ์ ครั้งหน้าไม่เลือกแน่นอน เพราะทำให้เดือดร้อน พ่อ-แม่ตกงาน ขายของไม่ได้”

“ส.ส.เหมือนไก่ชน ถ้าเลือกตั้งชนะ เหมือนไก่ชนที่ชนะ ถ้าแพ้เขาขายกิโลละ 35 บาท ชนะขายเป็นแสนเป็นล้าน ผู้แทนฯ กลัวสอบตกทุกคน ถ้าชาวบ้านพร้อมใจไปบอกว่าไม่เอาประยุทธ์แล้ว เดือดร้อน วันนี้ไปกดดันเลย แล้ว ส.ส.เขาจะยกมือไม่ไว้วางใจได้อย่างสบายใจ เพราะประชาชนกดกดัน ให้อำนาจ ส.ส.ทางอ้อม” โทนี่กล่าว

ศึกซักฟอกนอกสภาของโทนี่มาได้จังหวะพอดี เพราะเป็นจังหวะที่อารมณ์ความสัมพันธ์ในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เองก็เหมือนจะมีการขยับไปในทางไม่ค่อยดี

มีรายงานข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ข้องใจกระแสข่าวมีคนใน พปชร.ใช้เสียงพรรคเล็กโหวตคว่ำนายกรัฐมนตรี เพื่อกดดันให้ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวมถึงการพลิกขั้วทางการเมือง

จากความข้องใจของ พล.อ.ประยุทธ์ดังกล่าว

ทำให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรค พปชร. ออกมาชี้แจงถึงกระแสข่าวดังกล่าว

ซึ่งพยายามลากโยง ร.อ.ธรรมนัสอยู่เบื้องหลัง

โดย ร.อ.ธรรมนัสยืนยันว่าไม่เคยสนใจหรือใส่ใจเรื่องตำแหน่งหน้าที่ และพูดมาเสมอว่าจากลูกชาวนา เด็กบ้านนอก คนจน มาถึงทุกวันนี้ และได้ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองถือว่าชีวิตสูงสุดแล้ว ส่วนที่เหลือถ้ามีโอกาสทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง รับใช้แผ่นดิน รับใช้ประชาชนก็จะทำให้ดีที่สุด ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาคงไม่ต้องพูดอะไรมากว่าทำอะไรเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชนบ้าง ดังนั้น การจะมาแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในรัฐบาล ในคณะรัฐมนตรีเดียวกัน ไม่ใช่พฤติกรรมของตน

“ข่าวลือที่ออกมาว่าผมจะทำอันนู้นอันนี้ ไม่เป็นความจริง และมีข่าวที่ได้ยินมาจาก ส.ส.ที่โทรศัพท์มาหาว่ามีหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคเล็กคนหนึ่งเสนอรับเงิน 10 ล้านบาท เพื่อต่างตอบแทน และร้ายไปกว่านั้นมีรัฐมนตรีในพรรค พปชร.รับงานมาล็อบบี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรค พปชร.ในการโหวตสนับสนุนใครคนใดคนหนึ่ง ต้องถามว่าคนเป็นรัฐมนตรีสมควรทำอย่างนั้นหรือไม่ เพราะควรเห็นแก่ประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ไม่ต้องใคร 4 ช. ที่ว่ากัน ฝากไปบอกเขาด้วยว่า ทำอะไรเพื่อบ้านเพื่อเมืองบ้าง อย่าเห็นผลประโยชน์ส่วนตัว นี่คือคำตอบของผม” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว

ส่วนที่การโยงชื่อ ร.อ.ธรรมนัสเป็นหนึ่งในขบวนการล้มนายกรัฐมนตรีนั้น

ร.อ.ธรรมนัสระบุว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ระบุชัดเจนว่า 1 เสียงของ ส.ส. คือเสียงจากประชาชน ส.ส.รู้จักคิด รู้จักทำว่าควรจะทำอะไร ไม่สามารถไปครอบงำอะไรได้ มติพรรคจะให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะผิดรัฐธรรมนูญ พรรค พปชร.ไม่มีอย่างนั้น ใครมาถามก็บอกไปว่าดูแล้วกัน และให้ตัดสินใจเอง

“ผมไม่ได้ถูกใช้ให้มาล็อบบี้ใคร ไม่ว่าจะให้ช่วยรัฐบาลหรือไปรับรองพรรคอื่นให้มาช่วย หรือโหวตคว่ำใครคนใดคนหนึ่งผมไม่ทำ” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว

และพูดเป็นปริศนาว่า “ขบวนการมีหรือไม่มีต้องไปถามคนเต้าข่าวว่าต้องการอะไรแน่ คนเต้าข่าวไม่ใช่ฝ่ายค้าน พรรคฝ่ายรัฐบาล ไอ้ห้อยไอ้โหนทั้งหลาย ชอบเลียแข้งเลียขา สำเหนียกซะบ้าง ผมรู้หมดแล้ว บางคนบันทึกเทปไว้หมดแล้ว ระวัง เดี๋ยวเจอกัน”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คุยกับ พล.อ.ประยุทธ์อยู่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า ขอถามกลับไปหาไอ้ห้อยไอ้โหนว่าเคยทำเหมือนตนหรือไม่ ที่นำนโยบายของนายกรัฐมนตรี นำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและชาติบ้านเมือง มัวแต่ห้อยโหนอย่างนี้ประเทศชาติจะเจริญได้อย่างไร ตนพูดเสมอว่าไม่โกรธใคร ไม่แค้นใคร

ถอดนัยยะสำคัญ ก็จะเห็นความไม่พอใจบางอย่างเกิดขึ้นในพรรคแกนนำเอง เป็นกระแสความไม่พอใจในตำแหน่งทางการเมือง ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยน และคนที่รู้ตัวดีก็คือ พล.อ.ประยุทธ์นั่นเอง

ต้องยอมรับว่าการมาของโทนี่รอบนี้เป็นการมาที่จังหวะการเมืองไทยอยู่ในภาวะวิกฤตหนัก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจ วิกฤตทางสังคมจากโรคระบาด วิกฤตทางการเมืองที่ผู้คนออกมาบนท้องถนน แสดงพลังขับไล่รัฐบาล รวมถึงกระแสความขัดแย้งใน พปชร.ที่อาจจะขยายใหญ่ได้ตลอดเวลา

โทนี่เข้าใจจังหวะทางการเมืองดี รู้ว่าช่วงเวลานี้เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่ง ที่จะเหมาะในการต่อสู้ช่วงชิงพื้นที่ทางการเมือง

ลักษณะการสื่อสารทางการเมืองของโทนี่ในรอบนี้ จะเห็นว่าเขาพุ่งเป้าไปที่ประชาชน เพราะเขารู้ว่า ประชาชนคือศูนย์กลางทางอำนาจในโลกสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งก็คือประชาชน ความเห็นพ้องต้องกันในทางการเมือง ความชอบธรรมทางการเมือง จะเกิดความเปลี่ยนแปลงได้ก็ด้วยการสร้างการรับรู้ แลกเปลี่ยน

โทนี่ในปี 2564 จึงเป็นโทนี่ที่ทุกคนเข้าถึงได้ เขารู้ว่า การเมืองในสภาอย่างเดียวไม่สามารถล้มรัฐบาลประยุทธ์ได้ เขาถึงพูดแนะนำให้คนไทยส่งเสียงไปที่ผู้แทนฯ ในจังหวัดของตนเอง ให้ต้องไม่ไว้วางใจประยุทธ์

อดีตนายกรัฐมนตรีในวัยเลข 7 ยังคงกระฉับกระเฉง การพูดจาปราศรัยในเชิงความคิดเห็นที่นำเสนอนั้นยังคงแหลมคม เหมือนกับที่เคยเห็นในช่วงปี 2544 ถึง 2549 และถ้าว่ากันอย่างตรงไปตรงมา โทนี่ในวันนี้ แหลมคมความคิดยิ่งกว่าทักษิณในทศวรรษ 2540 เสียอีก

ถามว่า ความชอบธรรมทางการเมืองของโทนี่ฟื้นคืนกลับมาได้อย่างไร ก็ต้องย้อนกลับไปที่ดูกลุ่มก้อนอำนาจทางการเมืองที่ครองอำนาจอยู่ในปัจจุบัน แม้จะดูเหมือนมีอำนาจอยู่อย่างมั่นคง ภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่สร้างปัญหาการเมือง และสะสมพลังของความไม่พอใจมาอย่างต่อเนื่อง

เป็นอีกช่วงปรากฏการณ์สำคัญทางการเมืองการปะทุขึ้นของพลังความไม่พอใจดัง โดยมีศึกการเมืองนอกสภา ทั้งคาร์ม็อบซึ่งนำโดยณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ บก.ลายจุด ผสมเข้ากับกลุ่มทะลุแก๊ส ซึ่งถูกมองว่าเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ในแนวทางอนาธิปไตยใหม่พร้อมพุ่งชนกับตำรวจ

และมีโทนี่ เป็นอีกหนึ่งศัตรูทางการเมืองของรัฐบาล ที่ใช้คมความคิดเป็นอาวุธ พุ่งเป้าไปที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา

แน่นอนโทนี่รู้ว่าอาจจะล้มประยุทธ์ไม่ได้โดยเร็วๆ นี้ แต่จำเป็นต้องแสดงตัวตนออกมาเพื่อช่วงชิงพื้นที่การเมือง ร่วมถล่มรัฐบาลในภาวะขาลง เพราะไม่รู้ว่าปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าจะเกิดอะไรขึ้นนั่นเอง

และตอนนี้ก็เริ่มมีสัญญาณให้เห็น โดยเฉพาะปัญหาใน พปชร. และสิ่งที่สะท้อนคำพูดของคนเคยใกล้ชิดอย่าง ร.อ.ธรรมนัส!