ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 กันยายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
20 ปีที่สูญเปล่า?
สหรัฐกับสงครามต่อต้านก่อการร้าย
ปฏิบัติการอพยพผู้คนและถอนกำลังทหารชุดสุดท้ายของสหรัฐอเมริกาออกจากอัฟกานิสถานเสร็จสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อยเมื่อเวลา 23.59 น.ของวันที่ 30 สิงหาคมตามเวลาท้องถิ่น ก่อนกำหนดที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ขีดเส้นตายไว้เพียงหนึ่งวัน
ถือเป็นการปิดฉากการทำสงครามอันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐที่ดำเนินมาถึง 20 ปีเต็มลงอย่างเป็นทางการ นับจากวันที่จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้นประกาศกร้าวทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย หลังสหรัฐต้องเผชิญกับเหตุโจมตีสุดช็อกเมื่อวันที่ 11 กันยายนปี 2001 ซึ่งคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์บนแผ่นดินสหรัฐไปเกือบ 3,000 คน และทำให้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายหมื่นคน
เหตุวินาศกรรมเขย่าขวัญชาวโลกครั้งนั้น สหรัฐฟันธงว่าเป็นฝีมือของเครือข่ายก่อการร้ายอัลเคด้าที่มีบิน ลาเดน หัวหน้าใหญ่เป็นจอมบงการ ซึ่งนั่งบัญชาการแผนการโจมตีมาจากอัฟกานิสถานที่ขณะนั้นอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของกลุ่มทาลิบันที่ให้ที่กำบังภัยพักพิงแก่บิน ลาเดน และสาวกอัลเคด้า
การส่งกำลังทหารบุกอัฟกานิสถานของกองทัพสหรัฐเพื่อทำสงครามกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายเริ่มต้นขึ้นนับจากนั้น
ผ่านไป 20 ปีจนถึงวันนี้ในสายตาของเหล่านักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญหลายรายมองว่าสหรัฐ “ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง” ในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มก่อการร้ายที่เป็นนักรบญิฮาดหรือผู้ต่อสู้ที่เชื่อว่านครรัฐอิสลามที่ปกครองชุมชนมุสลิมทั้งหมดจะต้องถูกสร้างขึ้น ไม่เพียงมีจำนวนสมาชิกเพิ่มมากขึ้น แต่ยังกระจายตัวเคลื่อนไหวแทรกซึมอยู่ทั่วโลก
นักวิเคราะห์หลายคนบอกว่า แม้การบุกโจมตีอัฟกานิสถานของกองทัพสหรัฐจะสามารถโค่นล้มระบอบอำนาจกดขี่ของกลุ่มทาลิบันและลดทอนขีดความสามารถในการเคลื่อนไหวก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มอัลเคด้าลงได้หลังจากสหรัฐปลิดชีพบิน ลาเดน ได้สำเร็จก็ตาม
แต่นั่นไม่ได้เป็นการจัดการขจัดรากฐานความคิดรุนแรงของลัทธิหัวรุนแรงสุดโต่งที่เป็นรากเหง้าของปัญหาแต่อย่างใด
ผู้สัดทันกรณีอย่างอับดุล ซาอีด นักวิจัยด้านญิฮาดจากมหาวิทยาลัยลุนด์ในสวีเดนชี้ว่า สหรัฐจัดการสังหารบิน ลาเดน ได้ แต่หากเป้าหมายที่แท้จริงคือการยุติสงครามศักดิ์สิทธิ์ นี่ถือว่าเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
โดยขณะนี้การก่อการร้ายของเหล่านักรบญิฮาดได้เปลี่ยนรูปกลายเป็นภัยคุกคามโลกที่น่าหวั่นกลัวมากขึ้นทั้งโดยจากกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ที่ยังมีการแตกตัวเป็นเครือข่ายสาขาย่อยกระจายตัวเคลื่อนไหวอยู่ทั่วโลก
และยังมีที่เป็นปัจเจกบุคคลซึ่งรับเอารากฐานความคิดรุนแรงเข้าร่วมเคลื่อนไหวในดินแดนต่างๆ ด้วย
นักวิเคราะห์ยังมองว่า แม้สหรัฐและชาติตะวันตกจะไม่ได้เห็นเหตุโจมตีที่มีความรุนแรงเลวร้ายในระดับเดียวกับเหตุวินาศกรรม 9/11 ในหลายปีหลังจากนั้นก็ตาม
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าควรจะนำสิ่งนี้มากล่าวอ้างว่าเป็นผลพวงจากความสำเร็จในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐ
อัสซาฟ โมกาดัม นักวิจัยอาวุโสประจำสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการต่อต้านการก่อการร้ายในอิสราเอล บอกว่า เป้าหมายที่กำหนดไว้โดยตัวมันเองยังไม่สำเร็จ ลัทธิก่อการร้ายยังไม่ได้ถูกปราบให้พ่ายแพ้ราบคาบ หากแต่ภัยคุกคามมันมีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง
ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และนานาชาติ (ซีเอสไอเอส) ทำการประเมินไว้ในปี 2018 ว่ามีกลุ่มก่อการร้ายที่เคลื่อนไหวอยู่ทั่วโลกอยู่ประมาณ 67 กลุ่ม ซึ่งมากที่สุดนับจากทศวรรษ 1980
ขณะที่กำลังนักรบหรือสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายมีจำนวนอยู่ระหว่าง 100,000-230,000 คน เพิ่มขึ้นจากที่มีการประเมินไว้ในปี 2001 ถึง 270 เท่า
การผงาดขึ้นของกลุ่มกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในดินแดนอิรักและซีเรีย ที่มุ่งสถาปนานครรัฐอิสลามขึ้น ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวก่อภัยคุกคามรุนแรง แทนที่เครือข่ายก่อการร้ายอัลเคด้าที่อิทธิพลลดน้อยถอยลงหลังสิ้นบิน ลาเดน
ซึ่งโลกเราได้เห็นกับตาจากเหตุโจมตีรุนแรงที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งจากไอเอส
นี่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภัยคุกคามจากการก่อการร้ายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
โดยยังมีเครือข่ายนักรบญิฮาดอีกหลายกลุ่มที่แตกกิ่งก้านสาขาออกไปที่ประกาศสวามิภักดิ์ต่อผู้นำไอเอส ไม่เพียงจำกัดวงอยู่ในตะวันออกกลาง แต่แผ่ขยายออกไปทั้งในแอฟริกา โลกอาหรับ ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่ายุทธศาสตร์ที่พึ่งการเผชิญหน้าโดยตรงโดยปราศจากการคำนึงถึงสิ่งบ่มเพาะรากฐานความคิดรุนแรงของกลุ่มญิฮาดที่มากเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ความสับสนวุ่นวาย หลักธรรมาภิบาลที่เลวร้าย ตลอดจนการทุจริตคอร์รัปชั่น ล้วนเป็นแรงผลักให้คนเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงรากฐานความคิดสู่ความรุนแรงได้ในชั่วเวลาอันสั้น
โดยที่โลกภายนอกไม่สามารถทำอะไรได้
ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญอีกรายมองว่า หนึ่งในกลไกที่แข็งแกร่งที่สุดในการป้องกันผู้คนไหลเข้าสู่ลัทธิหัวรุนแรงสุดโต่งนั่นก็คือ การหาทางเลือกที่ดีกว่าให้กับผู้คนเหล่านั้น ส่วนการใช้อาวุธนั้นไม่ได้ช่วยอะไร
นักวิเคราะห์ยังชี้ว่า ไม่เพียงธรรมชาติของภัยคุกคามจากการก่อการร้ายที่เปลี่ยนไป หากชาติตะวันตกเองก็ยังเปลี่ยนไปด้วย โดยขณะที่ปี 2001 เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่า ก่อการร้ายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของสหรัฐและชาติพันธมิตร แต่ระยะหลังบรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ กับรัสเซีย อิหร่าน และที่สำคัญคือจีน ทวีความตึงเครียดมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญอย่างเซธ โจนส์ บอกว่า นั่นทำให้สหรัฐลดทอนการให้ความสำคัญในการจัดการกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายลงไปหรือไม่ และหันไปสาละวนตอบโต้จีน รัสเซีย และอิหร่าน ที่เป็นชาติคู่ปรับแทน
และนี่เป็นประเด็นหนึ่งที่มีการถกเถียงกันอยู่ในหน่วยงานด้านข่าวกรองของสหรัฐ ขณะที่โลกเรายังคงต้องเผชิญภัยคุกคามจากการก่อการร้ายต่อไป