มองข้ามช็อต หลังศึกอภิปราย : ‘วัคซีน’ ร้อนแรง เงินส่วนต่าง ‘หาย’ ? จะได้เห็นการดำเนินคดี?

บทความในประเทศ

 

ส่องศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

‘วัคซีน’ ร้อนแรงตามคาด

เพื่อไทยตีปี๊บเงินส่วนต่าง ‘หาย’

‘อนุทิน’ ยกทีม สธ.โต้ ไร้ทุจริต

 

เปิดศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นอภิปราย

1. “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

2. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

3. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

4. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

5. นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

และ 6. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

โดยพรรคร่วมฝ่ายค้านได้รับการจัดสรรเวลา 40 ชั่วโมง ส่ง 34 ขุนพลขึ้นเวทีซักฟอกนายกฯ และรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม ถึงวันที่ 3 กันยายน

ก่อนจะไปลงมติชี้ขาดผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจกันในวันที่ 4 กันยายน

“สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ส.ส.เชียงใหม่ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จั่วหัวเปิดญัตติการอภิปรายที่ดุเดือด กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ ว่า

เป็นบุคคลไร้ความสามารถที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล การบริหารราชการแผ่นดินเกิดความล้มเหลว โดยเฉพาะช่วงที่ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้น 2563 จนปัจจุบันกว่า 19 เดือน พล.อ.ประยุทธ์ได้รวมศูนย์อำนาจ รวบอำนาจและมีอำนาจตามกฎหมายแบบเบ็ดเสร็จ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

จนทำให้ระบบสาธารณสุขไทยล้มเหลวเกินขีดความสามารถที่จะรักษาผู้ป่วยได้

ส่วนการจัดหาวัคซีนที่มีพฤติการณ์ปิดบังอำพราง ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ไม่ทั่วถึง เลือกปฏิบัติ และไม่มีประสิทธิภาพสูงสุด ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตและแสวงหาประโยชน์ของบรรดานักการเมือง พวกพ้อง

และจากความโอหังและการเสพติดในอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้อยู่ในสภาพของคนเป็นโรคโอหังคลั่งอำนาจ (Hubris Syndrome) ไม่อยู่ในภาวะที่จะเป็นผู้นำประเทศได้อีกต่อไป

ตามที่มีการกล่าวกันว่า “ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด” เพราะคนโง่ คือภัยอันตรายร้ายแรงเมื่อได้กลายเป็นผู้มีอำนาจ

แน่นอนอีกไฮไลต์หนึ่ง คือ การเปิดหลักฐานการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ที่หลายฝ่ายออกมาท้วงติงกันตั้งแต่แรกว่า เหตุผลใดรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขจึงมุ่งที่จะจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคทั้งที่ประสิทธิภาพต่ำและราคาสูง

“ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรค พท. กล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทินล้มเหลวด้านการควบคุมโรคระบาดและการจัดหาวัคซีนผิดพลาด สิ่งที่น่าเสียใจมากที่สุดที่คนไทยยอมรับไม่ได้เลยคือ การค้าความตาย หากินบนความตายของประชาชนด้วยการจัดซื้อวัคซีนคุณภาพต่ำแต่มีราคาแพง เอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชน โดยซื้อวัคซีนเพียงรายเดียว ผูกขาดตัดตอนขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทำให้วัคซีนซิโนแวคเป็นวัคซีนเส้นใหญ่

โดยเฉพาะข้อมูลการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคที่แสดงให้เห็นถึงแผนการนำเข้า ราคาซื้อต่อโดส และราคาที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ซึ่งการจัดซื้อครั้งที่ 1 มีแผนการนำเข้า 2 ล้านโดส นำเข้าได้จริง 1.9 ล้านโดส ราคาตามที่ ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส ราคาซื้อจริง 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส, จัดซื้อครั้งที่ 2 ราคาตามที่ ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส ราคาซื้อจริง 15.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส, จัดซื้อครั้งที่ 3 ราคาตามที่ ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส ราคาซื้อจริง 14.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส, จัดซื้อครั้งที่ 4 ราคาตามที่ ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส ราคาซื้อจริง 9.5 เหรียญสหรัฐต่อโดส และจัดซื้อครั้งที่ 5 ราคาตามที่ ครม.อนุมัติ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส ราคาซื้อจริง 9.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส จากข้อมูลทั้งหมดพบว่า ราคาตามที่ ครม.อนุมัติในการจัดซื้อทั้ง 5 ครั้ง คือ 331,500,000 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท 10,846,680,000 บาท ส่วนราคาที่จัดซื้อจริงคือ 267,364,000 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท 8,748,150,080 บาท ทำให้เกิดส่วนต่างในการจัดซื้อทั้งสิ้น 2,098,529,920 บาท

น่าสังเกตจนเป็นข้อพิรุธ คือการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค 5 ครั้ง พบว่าราคาที่ ครม.อนุมัติทั้ง 5 ครั้ง คือ 17.0 เหรียญสหรัฐต่อโดส แต่ราคาซื้อจริงครั้งที่ 2-5 ราคาลดลงตามลำดับ ตรงกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่ให้มา

จึงอยากถามถึงเงินส่วนต่างว่าหายไปไหน

ขณะที่การชี้แจงข้อกล่าวหาจากฝั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงยึดรูปแบบเดิม คือการใช้สำนวนโวหารตอบโต้กลับ ทั้งการยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม โดยระบุว่า “สวดมนต์ทุกวัน ดังนั้น จะไม่ทำอะไรที่ผิด เรื่องเงินทอนการจัดซื้อวัคซีน ไปหามาว่าใครได้ ที่ผ่านมามีการตรวจสอบทั้งหมด คิดว่าท่านเข้าใจอะไรไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ อยากฝากไปถึงประชาชนที่ฟังอยู่ ให้ดูหน้าผม ผมพูดจากหัวใจ จากสมองที่ท่านบอกว่าน้อยนิดของผม แต่ท่านอย่าลืมว่าผมมีประสบการณ์ 6-7 ปีมาแล้ว นี่คือความแตกต่างที่ผมอาจจะรู้มากกว่าท่าน”

ต่างจาก “อนุทิน” รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จัดเต็มทีมวอร์รูมจากกระทรวงสาธาณสุข ทั้งปลัดกระทรวง อธิบดี และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดเต็มทั้งเอกสารและข้อมูลทั้งเรื่องการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค และการจัดซื้อชุดตรวจเอทีเค ชนิดที่ฝ่ายค้านอภิปรายในห้องประชุมสภาจบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ก็จัดโต๊ะนำผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุขออกมาชี้แจงข้อกล่าวหาในทันที

โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ส่วนต่าง” และ “เงินทอน” ว่ามีข้อมูลหลักฐานการจัดซื้อวัคซีนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้มีเรื่องของเงินทอนและส่วนต่างจำนวน 2,098,529,920 บาท อย่างที่มีการอภิปรายแต่อย่างใด

นอกจากนี้ “อนุทิน” ก็ใช้เวทีการประชุมสภาชี้แจงข้อกล่าวหาการบริหารจัดการแก้ปัญหาโควิด-19 และการจัดซื้อวัคซีนที่ล้มเหลวว่า ด้วยความสัมพันธ์ที่ดี บ้านพี่เมืองน้องไทย-จีนใช่อื่นไกล ถึงมีความจำเป็นมากเพราะว่าการพูดถึงซิโนแวค เปรียบเสมือนพูดถึงประเทศจีน จะบอกว่าของพี่ของน้องเราไม่ดี เป็นเสิ่นเจิ้นด้อยค่าเกรดดีด๊อก ไม่ได้หรอก

ส่วนราคาที่ท่านบอกว่า แพงมากถึง 17 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งโดส นั่นคือการซื้อครั้งแรก และซื้อเพียง 2 ล้านโดสเพื่อใช้ในช่วงเวลาฉุกเฉิน ซึ่งถูกกว่าราคาจริง และไม่เสียภาษี แต่เมื่อถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีการระบาดรอบ 3 ขึ้นมา ช่วงนั้นทราบดีว่าวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ายังไงก็ส่งถึงเดือนมิถุนายน จึงต้องตัดสินใจซื้อวัคซีนซิโนแวคเข้ามา แต่ก็ซื้อได้ในราคาที่ลดลงมาเรื่อยๆ วันนี้ซื้อวัคซีนซิโนแวคได้ที่ 8.90 เหรียญเท่านั้น ราคาลดลงมาตามลำดับ

และที่กล่าวหาว่าเมื่อซื้อวัคซีนซิโนแวคได้ในราคา 8.90 เหรียญสหรัฐต่อโดส ก็ถูกดุว่าทำไมของบฯ ซื้อที่ 17 เหรียญสหรัฐ เงินหายไปไหน ก็จะหายไปไหน ก็กลับเข้ารัฐ แล้วนำกลับมาใช้พัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ

ดังนั้น เรื่องการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริตไม่มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สธ. การทุจริตไม่มีในกระทรวงนี้ มีแต่เรื่องที่ขาว เรื่องที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

แน่นอนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เปรียบเหมือนการเปิดแผลในสภา

สิ่งที่ต้องติดตามต่อคือ หลังจากอภิปรายเสร็จ พรรคร่วมฝ่ายค้านจะยื่นข้อมูลหลักฐานทั้งหมดต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อส่งต่อไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เอาผิด “บิ๊กตู่” กับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

ว่าจะถึงจุดจบ หรือได้ไปต่อในสนามการเมือง