“Sex Doll” กับรสนิยมทางเพศที่เปลี่ยนแปลงไป ของมนุษย์ยุคใหม่

“การมีเพศสัมพันธ์” ถือเป็นกิจกรรมพื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์และสัตว์ เพื่อที่จะดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อไป

ตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา มีการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเทคนิคการร่วมรักหรือสอดแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับกามสูตรไว้ในบทประพันธ์ต่างๆ

แต่ด้วยภาระหน้าที่การงานที่ทุกคนต่างต้องดิ้นรนเพื่อปากท้องในยุคปัจจุบัน ทำให้ผู้คนสมัยใหม่มีเซ็กซ์กันน้อยลง นำไปสู่ปัญหาจำนวนประชากรเกิดใหม่ที่ลดลง สวนทางกับจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้น

โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหานี้อย่างหนักหน่วง

เห็นได้จากผลสำรวจต่างๆ ที่ชี้ว่าหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นมีเพศสัมพันธ์กันน้อยลงและครองตัวเป็นโสดมากขึ้น โดยมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องโครงสร้างทางสังคม และความไม่มั่นใจในตัวเอง

ผลสำรวจคนโสดญี่ปุ่นอายุระหว่าง 18-34 ปี เมื่อปี 2558 พบว่าผู้ชายเกือบ 70% และผู้หญิง 60% ไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศในรูปแบบใดๆ เลย

ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นผู้ชายจำนวน 42% และผู้หญิง 44.2% ยอมรับว่าตัวเองยังคงบริสุทธิ์อยู่ หรือหมายความว่าไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน

นอกจากนี้ หนุ่มชาวญี่ปุ่นบางส่วนยังมีรสนิยมทางเพศที่เปลี่ยนไป โดยหันไปผูกสัมพันธ์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์อย่าง “ตุ๊กตายาง” หรือ “Sex Doll” แทน

จำนวนของหนุ่มๆ กลุ่มนี้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

สาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้พวกเขาหันไปชอบตุ๊กตายางก็คือ พวกเขามีเซ็กซ์กับคนจริงๆ น้อยลง

“มาซายูกิ โอซากิ” หนึ่งในชายชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบตุ๊กตายางเปิดเผยกับสำนักข่าวบีบีซีว่า “นับตั้งแต่ที่ภรรยาของผมให้กำเนิดลูกสาว เธอก็ไม่เคยมีเซ็กซ์กับผมอีกเลย มันทำให้ผมรู้สึกเหงาจนจับใจ”

แต่เมื่อมาซายูกิได้เจอกับ “มายุ” ตุ๊กตายางที่เขาตั้งชื่อให้ เธอก็ทำให้ความเหงาในหัวใจของเขาถูกเติมเต็มด้วยความรักอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เพราะชายผู้นี้ได้นำตุ๊กตายางตัวโปรดเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกับภรรยาและลูกสาวของตนเองเลยทีเดียว

ทุกวันที่มาซายูกิกลับจากการทำงานอันแสนเหนื่อยหน่าย แต่เมื่อเขาได้มาเห็นหน้า “มายุ” ตุ๊กตายางตัวนี้ก็ทำให้เขาหายเหนื่อยและมีความสุขแบบสุดๆ

หากพูดถึงความเป็นมาของ “ตุ๊กตายาง” เพื่อนคู่ใจของชายหนุ่มขี้เหงาแล้ว สามารถเล่าย้อนกลับไปในเทพนิยายกรีกโบราณ ซึ่งกษัตริย์ “พิกเมเลียน” ทรงมีคำสั่งให้สร้างรูปปั้นหญิงสาวนางหนึ่งขึ้นมา พร้อมกับตั้งชื่อให้เธอว่า “กาลาเทีย”

ขอบคุณภาพจาก “มติชนออนไลน์”

พระองค์ทรงหลงรักรูปปั้นนี้อย่างมาก คอยดูแลอย่างดี ทั้งอาบน้ำ ป้อนข้าว หาเสื้อผ้าให้ใส่ และพาเธอเข้านอนร่วมกันทุกคืน กระทั่งเทพีอโฟรไดต์ เทพีแห่งความงามและความรัก ทรงเมตตาดลบันดาลให้รูปปั้นดังกล่าวมีชีวิตขึ้นมา

นอกจากนั้น ยังเคยมีความเชื่อว่าใน ค.ศ.1941 กองทัพนาซีได้ผลิตตุ๊กตาประเภทนี้ขึ้นมา โดยมีรูปแบบตามสเป๊กหญิงสาวที่ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ชื่นชอบ นั่นคือ มีผมสีบลอนด์ ตาสีฟ้า มีปากและหน้าอกขนาดใหญ่

เพื่อให้เหล่าทหารในกองทัพสามารถระบายความต้องการทางเพศของตนเอง โดยปลอดภัยจากการติดเชื้อซิฟิลิส

ทว่า ในช่วงทศวรรษ 2000 ก็มีข้อพิสูจน์ที่เห็นพ้องต้องกันว่าข่าวดังกล่าวเป็นเพียง “ข่าวปลอม”

การผลิตตุ๊กตายางมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน จากรายงานของบริษัทผู้ผลิตตุ๊กตายางในญี่ปุ่นชี้ว่า แต่ละปี มียอดขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมากถึง 2,000 ตัว ทั้งๆ ที่ตุ๊กตาประเภทนี้มีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 2 แสนบาท

คำถามก็คือ ทำไมบางคนถึงยอมจ่ายเงินมากขนาดนี้เพื่อที่จะมีสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับตุ๊กตามากกว่าคนจริง?

คำตอบสำหรับคำถามนี้อาจแบ่งได้ออกเป็น 2 แนวทาง

หนึ่ง คือ ความชื่นชอบส่วนบุคคล

และสอง คือ เทคโนโลยีการผลิตตุ๊กตายางที่พัฒนาไปไกลจนมีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากยิ่งขึ้น

สำหรับความชื่นชอบส่วนบุคคลนั้น อาจจะหาคำอธิบายยากสักหน่อย เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว ย่อมมีรสนิยมที่แตกต่างหลากหลายกันออกไป

แต่หากพูดถึงในด้านเทคโนโลยีการผลิต ปฏิเสธไม่ได้ว่าตุ๊กตายางทุกวันนี้มีความเหมือน “คนจริง” เข้าไปทุกที

โดยบริษัท “โอเรียนทัล อินดัสทรี” ผู้ผลิตตุ๊กตายางของประเทศญี่ปุ่นได้เผยโฉมตุ๊กตายางที่มีผิวสัมผัสเหมือนกับคนจริงๆ แม้จะทำมาจากยางซิลิโคน แต่ก็มีความยืดหยุ่นและนุ่มเหมือนกับผิวหนังของมนุษย์

ด้านบริษัท “อาบิส ครีเอชั่นส์” ในสหรัฐ ก็ได้เปิดตัวตุ๊กตายางรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า “ฮาร์โมนี” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างตุ๊กตาแบบเดิมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ทำให้ตุ๊กตายางรุ่นนี้สามารถพูดคุยตอบโต้กับมนุษย์ รวมถึงส่งเสียงครางขณะร่วมเพศ กะพริบตา มองตามเรา และขยับตัวได้ด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ใช้งานยังสามารถกำหนดบุคลิกภาพ นิสัย และอุณหภูมิร่างกายของตุ๊กตาได้ตามใจปรารถนา ผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ตโฟน

อีกหนึ่งลูกเล่นที่ทางผู้ผลิตติดตั้งเข้ามาในตุ๊กตายางรุ่นใหม่นี้คือ “การแสดงอารมณ์” อาทิ การแสดงความพึงพอใจ ออดอ้อน หรือความหึงหวง นั่นทำให้ใครหลายคนยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่อซื้อตุ๊กตาเหล่านี้มาไว้ในครอบครอง

เพราะใช่ว่าหนุ่มๆ ทุกคนจะสมหวังในเรื่องของความรักเสมอไป แต่เมื่อพวกเขาได้พบกับตุ๊กตายางรุ่นนี้แล้ว ชายหนุ่มผู้เปลี่ยวเหงาก็จะไม่ต้องผิดหวังอีกต่อไป

ด้านหนึ่ง ความชื่นชอบตุ๊กตายางเหล่านี้คล้ายจะเป็นเรื่องของสิทธิส่วนบุคคลที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่แท้จริงแล้ว นั่นอาจจะไม่ใช่การวิเคราะห์ที่ถูกต้องครบถ้วนเสียทั้งหมด

เพราะหากมองในภาพรวมแล้ว ด้วยความที่ประเทศญี่ปุ่นได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ หากหนุ่มสาวรุ่นใหม่ยังนิยมครองตัวเป็นโสดและมีรสนิยมทางเพศแบบนี้มากขึ้น ก็ย่อมส่งผลให้อัตราการเกิดใหม่ลดน้อยลงไปอีก

ขอบคุณภาพจาก “มติชนออนไลน์”

นำมาซึ่งปัญหาแรงงานไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด จนล่าสุดรัฐบาลต้องหาทางออกด้วยการ “นำเข้าแรงงานจากต่างชาติ”

เบื้องต้น รัฐบาลญี่ปุ่นจะเพิ่มเติมรายชื่ออาชีพที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาทำงานได้ เพื่อเพิ่มจำนวนแรงงานต่างชาติในญี่ปุ่นขึ้นอีกเป็น 2 เท่า

ทว่า แนวทางดังกล่าวก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำให้ประสบความได้ง่าย เพราะชาวญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่ามีความเป็นอนุรักษนิยมสูง ประกอบกับที่ฝ่ายการเมืองเกิดความกังวลว่าการเปิดช่องว่างให้แรงงานต่างชาติเข้าประเทศมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อฐานเสียงของตนเอง

มาถึงจุดนี้ ผู้อ่านบางท่านอาจจะเห็นด้วยกับการใช้ตุ๊กตายางเป็นเครื่องระบายความต้องการส่วนตัว เพราะมันไม่ได้เบียดเบียนหรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ใคร

หรืออาจจะไม่เห็นด้วยเพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้สาระและสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ รวมทั้งสร้างผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง อย่างที่หลายคิดคาดไม่ถึง

แต่ท้ายสุด คนที่จะสามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็คือ “คุณๆ” นั่นเอง ว่าการยอมจ่ายเงินหลักแสนบาท แลกกับ “ตุ๊กตายาง” หนึ่งตัว เพื่อนำมาใช้เป็น “เพื่อนคลายเหงา” นั้น

คุ้มค่ากันแล้วหรือไม่?