ตำรวจไม่เปลี่ยนสี องค์กรไม่เปลี่ยนไป/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

ตำรวจไม่เปลี่ยนสี

องค์กรไม่เปลี่ยนไป

 

“ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” – พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์

หลังจากกองทัพตำรวจภายใต้บัญชาการของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ มีบทบาทหลักในการปราบ “กบฏแมนฮัตตัน” สำเร็จ รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ปูนบำเหน็จแต่งตั้ง พล.ต.อ.เผ่าขึ้นเป็น “อธิบดีกรมตำรวจ” ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2494 ทันที พร้อมกับย้ายอธิบดีคนเก่าออกจากเก้าอี้ไป

นี่ใช่ว่าจะย้อนยุคไปไกลแสนไกลอย่างไร้เหตุ

หากกำลังฉายภาพให้เห็นว่าแม้เวลาจะล่วงผ่านไปถึง 70 ปี แต่ “เชื้อร้าย” หรือระบบความคิดที่ผิดพลาดนั้นยังคงดำรงอยู่ในวงการตำรวจมาตราบจนถึง พ.ศ.นี้

“เผ่า” ไม่ได้เรียนตำรวจ ไม่ได้โตในราชการตำรวจ ไม่เข้าใจระบบยุติธรรม ไม่เข้าใจรัฐสมัยใหม่ และไม่รู้กฎหมายที่อิงอยู่กับความเป็นเสรีนิยม

“เผ่า” ใช้แต่เพียงสัญชาตญาณเพื่อรอด ยืนหยัดและเติบโต จึงไม่คำนึงถึงวิธีการชอบ หรือมิชอบด้วยกฎหมาย

กรณีสังหาร พ.ต.โผน อินทรทัต ฆ่า พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข มือปราบชื่อดัง ตำรวจตงฉินซึ่งจับกุมฝิ่นเถื่อน 5 ตันที่ลำปางและได้หลักฐานว่าเป็นของเผ่า

การเบิกตัว 4 อดีตรัฐมนตรี จำลอง ดาวเรือง-ทองอินทร์ ภูริพัฒน์-ถวิล อุดล และทองเปลว ชลภูมิ จากโรงพักแล้วพาไปยิงทิ้งระหว่างทางที่บางเขน

การจับตาย ดร.ทวี ตะเวทิกุล ฆ่าแล้วเผาทำลายศพเตียง ศิริขันธ์ ขุนพลเสรีไทยอีสานกับพวก 5 ศพที่กาญจนบุรี สังหารนักการเมืองฝ่ายค้าน ฯลฯ

ล้วนคือผลงานที่อวดอ้างว่าทำเพื่อประเทศชาติ

“เผ่า ศรียานนท์” ไม่ใช่สัญลักษณ์แห่ง “เกียรติภูมิ” หากแต่เป็น “บาดแผล” ขององค์กรตำรวจและรอยเปื้อนของเครื่องแบบสีกากี

ตำรวจตามแบบฉบับของเผ่าเป็นตำรวจของนาย ไม่ใช่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่จะผดุงความยุติธรรมให้กับประชาชน องค์กรตำรวจถูกใช้เป็น “เครื่องมือ” สำหรับกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและผู้ขัดขวางผลประโยชน์อย่างอุกอาจโหดเหี้ยม

 

ถ้าจะกล่าวกันถึง “ตำรวจในรัฐสมัยใหม่” หรือสมัยนี้ รัฐธรรมนูญทุกฉบับกับประมวลวิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติเอาไว้โดยครบถ้วน

หลักใหญ่ใจความสำคัญคือการใช้อำนาจขององค์กรรัฐในการดำเนินคดีอาญาทุกขั้นตอนต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบได้โดยคำนึงถึง “ประโยชน์แห่งรัฐ” กับ “สิทธิเสรีภาพของบุคคล” ควบคู่กันไป

ผู้นำองค์กรตำรวจยุคใหม่ต้องไม่ใช่แค่ “คนขายฝัน” หรือดีแต่พูด ถ้าไม่ลงมือรื้อ จะไม่มี “ความเปลี่ยนแปลง”

การแถลงข่าวคดี “ผู้กำกับโจ้ถุงดำ” ของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา แทนที่จะสง่างามทำให้สิ้นสงสัย กลับกลายเป็นมากไปด้วย “ข้อกังขา”

เริ่มจากเมื่อได้ตัว พ.ต.อ.ธิติสรรค์ (ผู้กำกับโจ้) อุทธนผล อดีต ผกก.เมืองนครสวรรค์ ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน “ผบ.ตร.” ก็นัดหมาย “แถลงข่าว” ที่กองปราบปราม

แต่ ผบ.ตร.ใช้เวลาแถลงไม่นานก็เปิดโอกาสให้ “ผู้กำกับโจ้” ซึ่งนั่งอยู่อีกห้องหนึ่งได้โฟนอินตอบคำถามผู้สื่อข่าว

นับจากนาทีนั้น “คำแถลง” ของ ผบ.ตร.ก็จืดชืดเบาหวิวลอยหายไปในอากาศธาตุ

อดีต “ผู้กำกับโจ้” ได้อาศัย “สถานที่” และ “เวลา” พูดเอาดีเข้าตัวด้วยสำนวนและลีลาที่เตรียมการล่วงหน้ามาอย่างดี จากสถานะ “อาชญากร” พลิกลิ้นเอาบุญคุญกับคนนครสวรรค์ เช่นว่า ทำเพื่อเอาข้อมูลและทำลายยาเสพติดที่ทำลายพี่น้องประชาชนนครสวรรค์ ตลอดชีวิตรับราชการไม่เคยมีทุจริตเรื่องเงิน นี่เป็นเคสแรก

“ผมอายุยังน้อย ประสบการณ์น้อย”

 

เหตุการณ์วันนั้นชวนให้นึกถึง “ความเป็นตำรวจอาชีพ” ของ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ ครั้งที่เป็น “หัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน” คดีสังหาร 2 แม่ลูกตระกูล “ศรีธนะขัณฑ์” ซึ่งเวลานั้น พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.เวลานี้ก็เป็น 1 ในทีมสืบสวน

เมื่อมีการจับกุม พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ นายตำรวจที่ได้ชื่อว่า “มือปราบพระกาฬ” พร้อมกับพวกซึ่งมีทั้งตำรวจและพลเรือน พล.ต.ท.ชลอกับพวกไม่เคยมี “โอกาส” ได้ให้สัมภาษณ์อวดอ้างว่าทำคดีเพื่อชาติเพื่อประชาชน

“โจ้” ได้รับโอกาสอันงดงามนั้นท่ามกลางคำถามที่ประเดประดัง!

สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ ถามว่า ผบ.ตร.ให้สิทธิ “ผู้ต้องหา” เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ การจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดของชุดจับกุม ผกก.โจ้มีบันทึกจับกุมหรือไม่ และยังมีพนักงานสอบสวนคนไหนอีก ที่ร่วมกันปกปิดและทำลายหลักฐานแห่งคดี รวมทั้งการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายชันสูตรพลิกศพตั้งแต่แรก อัยการจังหวัดกับหมอหายหน้าไปไหนเกือบเดือน

นายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ หรือมาวิน ถูก พ.ต.อ.ธิติสรรค์ หรือโจ้ กับพวกจับมัดมือไพล่หลัง มัดแขนขาไม่ให้ขัดขืน เอาถุงพลาสติกดำคลุมหัวถึง 6 ชั้นพร้อมกับม้วนปิดปากถุง ตายเพราะขาดอากาศหายใจ ตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม ใบรับรองการตายจากแพทย์ลงว่า “เกิดจากพิษของสารแอมเฟตีนในร่างกาย” ไม่มีการรายงานเหตุตามลำดับชั้นตามระเบียบตำรวจฯ ว่า มีผู้ต้องหาตายในระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าพนักงาน

ไม่มีการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมชันสูตร ไม่มีรายงานชันสูตรพลิกศพ เอกสารหลักฐานทางคดีเท็จทั้งหมดก่อนหน้านี้ใครจะต้องรับผิด

 

จะว่าไปแล้ว ที่ “ผกก.โจ้” พ.ต.อ.ธิติสรรค์กล่าวว่า “ผมอายุยังน้อย ประสบการณ์น้อย” นั้นก็น่าจะจริง อายุ 39 นั้นยังเด็กนัก ถ้าระบบการแต่งตั้งตำรวจไม่ฟอนเฟะและ “โจ้” ไม่มีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้-ไม่มีทางที่จะได้นั่งเก้าอี้ระดับ “ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์”

คดีฆาตกรรมด้วย “ถุงดำมรณะ” นี้จะถูกอุบเงียบและสูญหาย ถ้าไม่มีคลิปหลุด และทนายษิทราไม่เอาออกมาตีแผ่

แน่นอนว่าทุกวงการมีคนดีกับไม่ดีปนกัน แต่ “ตำรวจ” เป็น “วิชาชีพ” ไม่ใช่แค่หาเงินเลี้ยงชีพ ถูกเปรียบเป็นเสมือน “ต้นธาร” ของกระบวนการยุติธรรม ในมือมีปืนและถือกฎหมาย เส้นแบ่งระหว่างถูกกับผิด สุจริตชนกับทุรชนต้องชัด

ถ้าระบบแต่งตั้งโยกย้ายทุกระดับชั้นยังคงเลวร้าย ใต้ดวงอาทิตย์นี้ทำได้ทุกสิ่งที่ “นายต้องการ” จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตำรวจได้!?!!