คำ ผกา | ผีเอย ผีทักษิณ

คำ ผกา

คำ ผกา

 

ผีเอย ผีทักษิณ

 

หลังการปรากฏตัวของ “โทนี่” ในคลับเฮาส์ต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์ และเป็นที่ตื่นตาตื่นใจทั้งสำหรับคนสนับสนุนพรรคไทยรักไทย แฟนคลับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

รวมไปถึง “คนรุ่นใหม่” ที่เคยได้ยินแต่ “เรื่องเล่า” ของทักษิณ แต่ไม่คิดว่า วันหนึ่งจะได้ร่วมสนทนา นั่งฟังทักษิณในนาม “โทนี่” ในแบบลุงคนหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่ง

และยิ่งเอาไปเทียบกับ “ลุง” อีกคนหนึ่ง โทนี่จึงเหมือนจะกลายเป็นขวัญใจคนรุ่นใหม่ไปด้วย แม้จะไม่ได้เป็นขวัญใจในแง่ที่อยากให้กลับมาเป็นนายกฯ

หลังจากที่กระแสตอบรับโทนีค่อนข้างดีในคลับเฮาส์ อีกด้านหนึ่งก็เริ่มมีการพูดถึงทักษิณในมุมกลับด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างห่วงกังวลจากมวลชนฟากฝั่ง “ประชาธิปไตย” ว่ากระแสของโทนี่จะเป็นการสร้างลัทธิบูชาตัวบุคคลขึ้นมาใหม่หรือไม่?

นี่เป็นการสร้างภาพทักษิณให้ดู “น่ารัก” เกินกว่าเป็นจริงหรือไม่?

พรรคเพื่อไทยกำลังใช้ “บารมี” โทนี่เพื่อสร้างกระแสความนิยมให้ตัวเองหรือไม่?

สำหรับฉันจึงคิดว่ามันน่าสนใจที่เราน่าจะได้ทบทวนสถานะของ “โทนี่” กับคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมไทย ว่าแต่ละกลุ่ม “นิยาม” โทนี่ว่าอย่างไร?

 

สําหรับกลุ่มคนที่สนับสนุนพรรคไทยรักไทย จนมาถึงพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน คนเหล่านี้มองว่า ทักษิณและพรรคไทยรักไทย คือนายกรัฐมนตรีและพรรคการเมืองที่เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว สร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้กับสังคมไทย

สิ่งที่เป็นผลงานตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้คือ นโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรค และคงไม่ต้องเขียนซ้ำซากว่านโยบายนี้มีส่วนในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยและ “ช่วยชีวิต” คนได้มากขนาดไหน

ส่วนนโยบายอื่นๆ ที่ยังอยู่ในความทรงจำ มีทั้งหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ กองทุนหมู่บ้าน ปฏิรูประบบราชการ one stop service

ความสำเร็จเรื่องปลดหนี้ไอเอ็มเอฟ การสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ หวยบนดิน การปลดล็อกกฎหมายหลายฉบับที่เป็นอุปสรรคในการทำมาหาหินของชาวบ้าน เช่น สุราชุมชน การอำนวยความสะดวกให้ธุรกิจเอสเอ็มอี หรือแม้กระทั่งนโนบายการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น นโยบายแท็กซี่ ที่พยายามให้คนที่มีอาชีพขับแท็กซี่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของรถ ฯลฯ

และเป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากจะมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่หลุดพ้นจากความยากจน หรือได้ยกระดับตัวเองจากคนชั้นรากหญ้าได้กลายเป็นคนชั้นกลาง ลืมตาอ้าปาก มีบ้าน มีรถ สามารถส่งลูกเต้าเรียนหนังสือในยุคของรัฐบาล ไทยรักไทย และจะกลายเป็น กลุ่มคนที่ทั้งหวงแหนประชาธิปไตยเพราะมัน “กินได้”

ขณะเดียวกันก็มีความรักใคร่บูชาอดีตนายกฯ ในฐานะตัวบุคคล

รักมาก รักไม่มีเงื่อนไข หรือรักในแบบที่ฝ่ายปัญญาชนมองว่ารักแบบตาบอด รักแบบ “แตะทักษิณไม่ได้”

คนที่ให้นำหนักกับบทบาทของอดีตนายกฯ ทักษิณในเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง การทำให้คนหลุดพ้นจากความยากจน โดยมากคนเหล่านี้จะมีจุดยืนทางวัฒนธรรมที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม

เช่น สนับสนุนให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มีแนวโน้มจะเป็นชาตินิยมแบบขวาๆ กีดกันคนต่างชาติต่างศาสนา ไม่ยอมรับเกย์ เลสเบี้ยน เพศทางเลือก มีแนวโน้มจะโปรจีนต่อต้านอเมริกา และแสดงจุดยืนสนับสนุนนโยบายฆ่าตัดตอนเพื่อปราบปรามยาเสพติดของทักษิณอย่างเปิดเผย

และมักพูดถึงนโยบายฆ่าตัดตอนของอดีตนายกฯ ทักษิณอย่างภาคภูมิว่า นี่คือนายกฯ ที่มีผลงานปราบปรามยาเสพติดที่ได้ผลที่สุด

และเหตุที่ได้ผลเพราะใช้ยาแรงแบบนโยบายฆ่าตัดตอน

แน่นอนว่า คนหลุ่มนี้จะไม่มีความสนใจในความละเอียดอ่อนของประเด็นปัญหาชายแดนภาคใต้เลย และมองเรื่องภาคใต้แบบคน “ขวาจัด” สามารถเรียกกลุ่มแบ่งแยกดินแดน หรือเรียกเหมารวมทุกสิ่งอย่างที่เป็นความรุนแรงในภาคใต้ว่าเป็นเพราะ “โจรใต้”

มิหนำซ้ำยังชอบแสดงความเห็นในทำนองว่า ทหาร ตำรวจที่ “ไม่ได้ความ” ควรถูกส่งลงไปอยู่ภาคใต้ เป็นต้น

นั่นคือ ทักษิณกับผู้สนับสนุนกลุ่มหนึ่งและน่าจะเป็นกลุ่มใหญ่

 

กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่เกลียดทักษิณมาก

กลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนชั้นกลางที่เข้าร่วมขบวนการกู้ชาติของสนธิ ลิ้มทองกุล หรือคนเสื้อเหลือง

สำหรับคนกลุ่มนี้ทักษิณคือคนขายชาติ (กรณีขายหุ้นเทมาเส็ก)

ทักษิณคือเผด็จการรัฐสภา ซื้อเสียงผ่านนโยบายรัฐ ดังนั้น จึงมีแนวโน้มจะชนะการเลือกตั้งตลอดไป – น่ากลัวสุดๆ

เป็นนายทุนแบบทุนสามานย์ ทุนเขมือบชาติ กินรวบ ใช้อำนาจทางการเมืองเอาพี่น้อง พรรคพวกเข้ามากุมบังเหียนประเทศ ใช้นโยบายประชานิยมซื้อ “คนจน” มาเป็นฐานเสียง

และคนเหล่านี้กล่าวหาว่าทักษิณ เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบัน โดยใช้รูปที่วัดพระแก้วมาโจมตีกล่าวหาไปจนถึงกรณีปฏิญญาฟินแลนด์

สำหรับคนกลุ่มนี้ทักษิณคือ “ผี” ผิดทุกกรณี ไม่ต้องมาแสดงเหตุผลอะไรกันอีก ดังนั้น คนกลุ่มนี้ยินดีที่จะให้ประเทศอยู่ภายใต้ของเผด็จการทหาร หรือจะอยู่ภายใต้อะไรก็ได้ อย่างไรก็ได้ ประเทศจะพัฒนาจะด้อยพัฒนาไม่สน ขออย่างเดียวอย่าให้ทักษิณกลับมา

และมีแนวโน้มว่าคนกลุ่มนี้จะปฏิเสธการปกครองระบอบประชาธิปไตย

และมักบอกว่าต้องการปกครองในระบอบธรรมาธิปไตย

 

กลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มคนที่โปรประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหาร แต่เกลียดทักษิณ

ในกลุ่มที่สามนี้ บางคนเคยร่วมเป็น “พันธมิตร” มีบทบาทในการสร้างองค์ความรู้เรื่อง “ระบอบทักษิณ” หรือ “ทักษิโนมิกส์”

ในสายตาของคนเหล่านี้มองว่า ทักษิณใช้แนวคิดเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ ทอดทิ้งคนจน เอื้อกลุ่มทุน ไม่แคร์ประเด็นสิ่งแวดล้อม ต้องการแต่จีดีพีสูงๆ สามารถไปเป็นเพื่อนกับเผด็จการทหารพม่า เพียงเพราะอยากค้าขาย ไม่แคร์ประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ให้ความสำคัญเรื่องคนชายขอบ ที่ดินทำกินของคนตัวเล็กตัวน้อย ไม่จริงใจเรื่องนโยบายกระจายอำนาจ

และที่คนกลุ่มนี้เกลียดที่สุดคือ เรื่องกรือเซะ ตากใบ และนโยบายฆ่าตัดตอนยาเสพติด ประเด็นอุ้มหายทนายสมชาย นีละไพจิตร ก็ยังเป็นสิ่งที่คนกลุ่มนี้จะยกมาพูดถึงอยู่ตลอดเวลา

ในกลุ่มนี้มีทั้งคนที่ไม่เป็นพันธมิตร ต่อต้านรัฐประหารมาตั้งแต่แรก และคนที่เคยเป็นพันธมิตร แล้วตระหนักถึงความเลวทรามของเผด็จการทหาร หันกลับมาสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยแต่ก็ยังเกลียดทักษิณเข้าไส้อยู่

และไม่สามารถถอดจิตถอดใจจากเรื่องกรือเซะ ตากใบ ฆ่าตัดตอนไปได้ และภายหลังพ่วงมาด้วยข้อหา ทักษิณและเพื่อไทยคือจอม “ดีล” จอมเกี้ยเซี้ย

และ radical ไม่พอ ไม่ยอมแตะไปที่ปัญหาอันเป็นแกนกลางของปัญหาการเมืองไทย

 

ความลักลั่นของสถานะทักษิณในสังคมไทยที่น่าสนใจมากๆ คือ คนกลุ่มหนึ่งมองว่า ทักษิณเป็นภัย

อีกกลุ่มมองว่าทักษิณเป็นสายภักดี

แต่ทั้งสองกลุ่มนี้เกลียดทักษิณทั้งคู่ และอยู่ตรงกันข้ามกับกลุ่มที่หนึ่คือ รักทักษิณอย่างไม่มีเงื่อนไข

และอาจเสริมได้เล็กๆ ว่า มีกลุ่มที่หนึ่งที่ได้กลายมาเป็นกลุ่มที่สาม ด้วยเหตุผลว่า ตอนนี้ “ก้าวหน้า” กว่าทักษิณแล้ว

ส่วนตัวฉันถูกเรียกว่าเป็น “นางแบกเพื่อไทย” ซึ่งฉันก็ไม่ได้เห็นว่าต้องไปพยายามแก้ตัวอะไร

ฉันคิดว่า ทักษิณมีความผิดพลาดในเรื่องนโยบายสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

และฉันไม่เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์เรื่องนโยบายฆ่าตัดตอนยาเสติด

และเกลียดทุกผลงานของกระทรวงวัฒนธรรมในยุคที่ทักษิณเป็นนายกฯ

แต่ฉันไม่ได้ห็นประเด็นว่า ทำไมทักษิณจะต้องกลายเป็น “ผี” ไปขนาดนั้น

และหากทักษิณคือเหตุแห่งความละเมิดทุกสิทธิมนุษยชนขนาดนั้น ทักษิณออกนอกประเทศไปเกือบ 20 ปี ทำเรื่องราว คดีความเหล่านี้ไม่ได้รับการชำระ และหากมีการชำระกันจริงจัง อาจทำให้รัฐบาลทหารทุกรัฐบาลสามารถเรียกทักษิณมารับโทษให้สาแก่ใจสลิ่มได้อีก

สิ่งที่มันน่าสนใจสำหรับฉันคือทำไมเราไม่คิดว่า ไม่มีนายกฯ ที่มาจากการเลือกไหน จะไม่ทำอะไร “ผิด” สักเรื่อง

แต่ไม่ว่าความผิดของเขาจะเป็นอะไร สิ่งที่เราจะไม่มีวันแลกมาคือ การรัฐประหาร!!!

สมการมันเรียบง่ายแค่นั้น

 

และในเวลานี้ที่สังคมคุยกับโทนี่ในคลับเฮาส์ ในภาวะที่เราอยู่ภายใต้รัฐบาลที่สืบทอดอำนาจมาจากการทำรัฐประหารมาต่อเนื่องมาเจ็ดปี และกำลังจะกลายเป็นแปดปี

และเรารู้สึกได้ชัดเจนว่า การรัฐประหารมันไม่ได้ปล้นแค่อำนาจ แต่มันปล้นโอกาส ปล้นชีวิต ปล้นเวลา ปล้นอนาคตลูกหลานเราชัดๆ

เราไม่ได้มานั่งคุยกับโทนี่เพราะเราเห็นว่าโทนี่เป็นวีรบุรุษที่ปราศจากความด่างพร้อย

ไม่ใช่เราไม่รู้เรื่องฆ่าตัดตอน

ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องกรือเซะ ตากใบ

และเราไม่ได้ไปนั่งคุยกับเขาเพื่อพยายามกลบเกลื่อนว่าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้น

แต่เราคุยโดยสมมุติฐานว่าทุกคนรู้เรื่องนี้ และนี่คือนายกฯ จากการเลือกตั้งที่โดนรัฐประหารออกไป และขณะนี้เราอยู่ภายใต้ผู้นำที่ไม่ใช่แค่ “ไม่สมบูรณ์แบบ” แต่เราอยู่กับผู้นำที่ผิดตั้งแต่ความชอบธรรมทางการเมือง แล้วยังไม่เคยทำอะไร “ถูก” สักเรื่องเดียวในมิติของการเป็นนักบริหาร

แค่นั้นเอง สำหรับฉันมันเลยตลกที่มีคนพยายามจะบอกว่า “นี่ทักษิณนะ นี่มันคนเลวมากนะ ไปคุยกับมันทำไม” หรือ “นี่ลืมแล้วเหรอว่า ทักษิณทำอะไร”

อยากจะบอกว่า กูก็รู้เหมือนมึงนั่นแหละ แต่โจทย์ของกู ณ เวลานี้ไม่ใช่ทักษิณที่โดยทหารทำรัฐประหาร เป็นเผด็จการที่ขี่คอมึงอยู่โดยใช้ผีทักษิณมาเป็นข้ออ้างปล้นอำนาจประชาชน

จะสู้กับเผด็จการอันดับแรกเลิก “กลัว” ผีทักษิณให้ได้ก่อนไหม?