คุยกับ ‘หมิว สิริลภัส’ ประเทศไทยเหมือนอยู่ใน ‘กลียุค’/เปลี่ยนผ่าน

เปลี่ยนผ่าน

มรุพล มะนิก

 

คุยกับ ‘หมิว สิริลภัส’

ประเทศไทยเหมือนอยู่ใน ‘กลียุค’

ท่ามกลางกระแสเรียกร้องของฝ่ายประชาธิปไตยที่ต้องการให้คนบันเทิงช่วยกัน “คอลเอาต์” ให้สังคมได้ตระหนักถึงความผิดพลาดและความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19

ถ้าจะนับศิลปินดาราที่ออกมาร่วม “คอลเอาต์” รวมถึงเข้าร่วมประท้วงต่อต้านรัฐบาลกับฝ่ายประชาธิปไตยเสมอมา หนึ่งในต้องมี “หมิว-สิริลภัส กองตระการ”

ก่อนหน้านี้ เธอเคยตกเป็นข่าวดังในสังคม กรณีถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจคุกคามตามเข้าห้องน้ำหญิงที่ปั๊มน้ำมัน ซึ่งนั่นเป็นผลพวงหนึ่งที่เธอได้รับ จากการออกมาแสดงจุดยืนทางการเมือง

ไม่เพียงเท่านั้น การแสดงจุดยืนทางการเมืองของหมิวยังมีผลลุกลามต่อเนื่อง กระทั่งต้นสังกัดต้องยุติสัญญากับเธอในที่สุด

แต่กระนั้น “เสียงคอลเอาต์” ของหมิวกลับไม่ได้ลดระดับลงแม้แต่น้อย

หมิว สิริลภัส เปิดใจกับมติชนทีวีว่า ในความรู้สึกของเธอ สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ไม่ต่างจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เพราะมันเหมือนกลียุค ที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายไปทุกอย่าง

“เรามีโรคระบาดมาทำร้ายเรา มาตีเมืองเรา แต่เรากลับมีผู้บริหารประเทศที่ขาดภาวะผู้นำ ไม่มีวิสัยทัศน์ เหมือนให้คนตาบอดนำทาง ควบคุมและบริหารจัดการท่ามกลางภาวะวิกฤตไม่เป็น ประชาชนเสียกำลังใจ ขาดความเชื่อมั่น ประชาชนล้มตาย” นักแสดงสาวย้ำด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ พร้อมกับฉายภาพเพิ่มเติมว่า

“ทุกวันนี้มีคนเจ็บ ต้องปิดกิจการ ต้องฆ่าตัวตาย ครอบครัวต้องสูญเสีย ต้องมีคนล้มตายจากโรคโควิด-19 หมิวว่าไม่มีประเทศไหนหรอกค่ะ ที่จะมีผู้นำประเทศมาพูดนะจ๊ะ มาชู 2 นิ้ว

“ณ ทุกวันนี้ หมิวมองว่า ทุกคนเห็นประจักษ์ด้วยตา ได้ยินด้วยหู ได้ดูด้วยตาเลยว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้นตอนนี้มันไม่ใช่เพราะว่าเราโชคร้าย เพราะเราติดโควิค-19 (หรือ) เราโชคร้าย ที่เรามีโรคนี้เข้ามา แต่เราโชคร้ายที่มีคณะบริหารจัดการที่ทำงานไม่เป็น

“ทุกชีวิตในสังคมต้องขับเคลื่อนด้วยเงินเพราะเป็นสังคมทุนนิยม เมื่อมีคำสั่งให้ล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ แต่ตรงกันข้ามประชาชนต้องออกไปทำมาหากิน ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อข้าวกิน?

“วัคซีนเข้ามาก็ไม่เพียงพอ คนก็ยังฉีดไม่ได้ วัคซีนที่เข้ามามีคุณภาพพอที่จะป้องกันการแพร่เชื้อได้แล้วหรือไม่? เมื่อมันส่งผลให้มีคนติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น จะมาโทษประชาชนไม่ได้ แถมสุดท้าย ประชาชนยังต้องออกมาช่วยเหลือกันเองทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่”

ก่อนเจ้าตัวจะสรุปภาพให้เห็นว่า “กลายเป็นว่าคนมันติดเข้าไปในดักแด้ เป็นกับดัก แล้วมันก็ยิ่งดิ้นๆ แล้วทุกอย่างมันก็ยิ่งพันตัวเอง จนแก้ไม่หลุดอะไรสักอย่างแล้ว”

ทั้งนี้ หมิวได้ตั้งคำถามถึงมาตรการเยียวยาของภาครัฐแบบตรงไปตรงมา

“เราอยากรู้ว่าปิดเรา (ล็อกดาวน์) เยียวยาเราได้ไหม? เยียวยาเราเท่าไหร่? ไม่ใช่เอาเงินมาสุ่มแจกเป็นแบบต้องชิงโชคกัน ทุกคนควรมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยา ทุกคนจ่ายภาษีเหมือนกันหมด สิทธิหน้าที่ในการเป็นพลเมืองทุกคนเท่ากันหมด ทำไมคนหนึ่งถึงได้มากกว่า คนหนึ่งถึงได้น้อยกว่า”

นักแสดงสาวผู้กระตือรือร้นทางการเมืองระบายความในใจต่อว่า อยากให้รัฐบาลที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ได้ลองมาใช้ชีวิตแบบหาเช้ากินค่ำดูบ้าง เพื่อจะได้รู้ว่าความลำบากของผู้คนตอนนี้คืออะไร? จะได้ไปจัดการแก้ไขให้ถูกต้อง

ไม่ใช่แค่เข้าประชุมแล้วออกนโยบายอะไรมาก็ไม่รู้ มิหนำซ้ำ เมื่อนโยบายผิดพลาด รัฐบาลกลับไม่เคยเอ่ยขอโทษประชาชน

“มึงพูดมาเถอะ มึงพูดมาเลย ขอโทษก็ได้ ขอโทษที่เราบริหารจัดการก่อนหน้านี้ไม่ดี แต่ว่าหลังจากนี้ไป เราจะมีวิธีอะไรๆ นี่คือสิ่งที่เราต้องการ ไม่ต้องขอโทษก็ได้ ถ้าแบบมันค้ำคอมากก็ไม่ต้องขอโทษ ก็บอกเลยว่า ก่อนหน้านี้มันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าหลังจากนี้จะมีวิธีแบบนี้ๆ”

เมื่อถามว่ากลัวไหม? กับการออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในลักษณะนี้ หมิว สิริลภัส ตอบแบบไม่ลังเลว่า รู้ดีว่าถ้าพูดแบบนี้ ตนเองต้องเดือดร้อนแน่ๆ ไม่รู้ว่าจะโดนอุ้มไปตอนไหน

แต่ขณะเดียวกัน หมิวก็ถามตัวเองในกระจกว่า ถ้าไม่พูดเรื่องนี้ ตอนนี้ แล้วจะพูดตอนไหน? แม้การกระทำทุกอย่างล้วนมีสิ่งที่ต้องแลกหรือสูญเสีย แต่เธอเชื่อว่าการออกมาพูดในครั้งนี้ จะส่งแรงกระเพื่อมให้อีกหลายๆ คนได้เห็น และหันมาตระหนักจริงๆ ว่า เวลานี้บ้านเมืองเรามีปัญหาและมีประชาชนที่เดือดร้อนจริงๆ

“ทุกวันนี้ เราเห็นขยะกองมันตั้งอยู่ เรารู้ว่านี่คือขยะ ทำไมเราถึงไม่บอก? เราถึงไม่ออกมาพูดให้ทุกคนช่วยกันเคลียร์ขยะกองนี้ให้มันออกไปก่อนที่มันจะเน่าเฟะ แล้วมันทำให้บ้านเราอยู่ไม่ได้อีกต่อไป ถ้าไม่พูดตอนนี้ ต่อไปจะมีประเทศชาติให้เราออกมาพูดไหม? มันจะมีแผ่นดินให้เรามานั่งวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ไหม?

“ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่ากันทุกคน เพียงแต่คนที่เขาสนับสนุนเรา คนที่เขารักเรา ตอนนี้คนพวกนี้เขาลำบาก จะให้หนูนั่งอยู่เฉยๆ เหรอ? ทั้งๆ ที่หนูรู้ว่าถ้าเกิดหนูพูดออกไป เสียงหนูจะดังมากกว่าพวกเขา หนูอยู่เฉยไม่ได้

“หมิวเชื่อว่าสิ่งที่หมิวสู้อยู่คือความถูกต้อง หมิวสู้เพื่อปากท้องของพ่อแม่พี่น้อง คนที่เขาสนับสนุนเรา คนที่เขาดูผลงานของเรา”

 

พอผู้สื่อข่าวสอบถามดาราสาวถึงเรื่องที่ถูกประทับตราว่าเป็นพวก “สามกีบ” หมิวสวนกลับมาทันทีว่า

“คือสามกีบแล้วไงคะ? หมิวไม่เคยแคร์เลย ตอนหมิวเป็นสลิ่ม หมิวก็ยืดอกยอมรับว่าหมิวเป็นสลิ่มเก่า เคยไปเป่านกหวีด ตอนนี้หมิวก็ออกมา อยากจะด่าสามกีบด่าไปเลย เราไม่เคยมารู้สึกเจ็บ หรือรู้สึกมากระทบกระเทือนจิตใจกับคำเรียกพวกนี้

“เพราะเรารู้ว่าอุดมการณ์หรือความต้องการของเราคือความหวังดีกับประเทศชาติ ความหวังดีกับประชาชนทุกคน”

เมื่อถามต่อว่าการเมืองไทยตอนนี้ยังพอมีทางออกหรือไม่? เธอยิ้มอ่อนพร้อมกัดฟันตอบว่า

“ต้องมีคนที่จะต้องจุดเทียนแล้วต่อกันไปเรื่อยๆ มันถึงจะมีแสงสว่างเพิ่มขึ้น ตอนนี้มันมีเทียน ไฟมันจุดติด แต่มันจุดติดได้น้อยเหลือเกิน ถ้าเราไม่ช่วยกันจุดต่อๆ ไป เราก็จะอยู่ในที่มืดแบบนี้ ต้องยอมรับชะตากรรมกันไป

“แต่ถ้าเราเลือกที่จะจุดเทียนแล้วส่งต่อ มันก็จะค่อยๆ สว่างขึ้น แล้วมันจะเป็นพลังงานของเทียนที่จะไปสู้กับแสงไฟได้ กับแสงข้างนอกได้ ถ้าเรารวมตัวกันมากพอ ถ้าเราเป็นเทียนที่มัดรวมกันแล้วมีกำลังมากพอ เราจะออกไปสู้กับพายุกับลมข้างนอกได้แน่นอน”

สุดท้าย เมื่อถามว่ามีอะไรอยากฝากบอกไปถึงนายกฯ ที่ชื่อประยุทธ์หรือไม่? หมิว สิริลภัส ถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า

“ไม่พูดดีกว่า เพราะพูดไปก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา หมิวว่าเขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ถ้าเขาสนใจ ทุกอย่างจะต้องได้รับความดูแลที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ออกมายืนยิ้มหัวเราะร่า ทั้งๆ ที่มีคนฆ่าตัวตาย มีคนตายทุกๆ วัน

“ลองเป็นคนชนชั้นกลางดู มาใช้ชีวิตแบบพวกเราที่ต้องดิ้นรนหาเงินไปในทุกวัน ให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ พนักงานที่ใช้แรงงาน พ่อค้าแม่ขายที่เขาต้องขายของ เกษตรกร ชาวนา คนที่รายได้ไม่มีความแน่นอน ลองไปเป็นเขาดูบ้าง ลองไปเป็นเขาดูบ้างเถอะ จะได้เข้าใจว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง”