อภิญญ ตะวันออก : แด่หนุ่มสาว (7) : นายพลผู้สยบต่อรัฐประหาร

ต่อชีวิตของคนที่เคยถูกกุดหัวและปราบจนไม่ต่างจากขอมดำดิน เคยล่องหนหายตนไปอย่างเหลือเชื่อในช่วงเวลา 1 เดือนในเหตุรัฐประหารกรกฎาคม 1997

แต่ พลเอกยึก บุนชัย ซึ่งไม่ตายไปพร้อมกับพรรคพวกเพื่อนพ้องของเขาล้มตายราว 60 นาย และนายทหารชั้นผู้น้อยภายใต้การบัญชาการของตนที่พลีชีพไปในการนี้อีกราว 120 คน

มีทั้งแบบมัดมือเท้าถูกยิงทิ้งฝังดินและชำแหละอวัยวะ ตัดมือตัดเท้า ซึ่งจนถึงบัดนี้ ความตายคนเหล่านี้ยังไม่เคยถูกทวงถามความยุติธรรม

ยึก บุนชัย นั้นก็อยู่ในข่ายที่จะประสบเคราะห์กรรมดังกล่าว ขณะที่กองกำลังแถวหน้า ซึ่งมี พลเอกโกรจ เยือน เจ้า สมบัติ ฯลฯ กำลังมุ่งหน้าไปสู่ความตายนั้น

พลันในจังหวะอันอิดโรยของการเดินเท้ามุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของจังหวัดกำปงสะปือนั้น จู่ๆ ผู้บัญชาการกองบัญชาการแห่งฟุนซินเปกก็ตัดสินใจซ่อนตัวในพุ่มไม้เล็กๆ ที่แทบจะไม่เชื่อว่าจะสามารถบังตนคุ้มภัยได้ ก่อนที่จะมีพลทหารคนหนึ่งเดินทะเล่อทะล่าผลุบหายไปด้วยกัน

นั่นคือตอนสายสิบนาฬิกาเศษของวันที่ 7 กรกฎาคม 1997 หลังจากนั้นไม่นาน หน่วยรบพิเศษของ ฮุน เซน ที่ชื่อกองทัพน้อย ก็เดินทางมาถึงยังพุ่มไม้ดังกล่าวที่ ยึก บุนชัย พรางตัว

นักรบที่แบกอาวุธเต็มหลังพยายามเดินวนรอบบริเวณนั้นอยู่พักหนึ่ง ณ จุดที่ใกล้ที่สุดแต่จังหวะนั้นเอง เขาก็ถูกเรียกตัวให้ไปสมทบกองกำลังชุดใหญ่ที่กำลังจู่โจมจับกุม และต่อมาสังหารทิ้งสมาชิกฟุนซินเปกทุกคนตั้งแต่วันที่ 8-10 กรกฎาคม และก่อนหน้านั้น คือวันที่ 5-7 กรกฎาคม การสังหารสมาชิกฟุนซินเปกรายบุคคลและกององครักษ์ ณ สถานต่างๆ เช่น นายโส ฮก รัฐมนตรีที่กระทรวงมหาดไทย

มีเหลือรอดบางคนที่หนีเข้าไปยังบ้านพัก พลเอกสอ เค็ง จึงเป็นที่ประจักษ์ว่า นายเจีย ซิม ไม่น่าจะมีส่วนร่วมในรัฐประหารครั้งนั้น และว่า เหตุใด ฮุน เซน จึงใช้วิธีออกจากประเทศ และย้อนรอยกลับมาบัญชาการร่วมกับ ฮก ลองดี-นายพลตำรวจเอกคู่เขย ที่ได้ชื่อว่ามักปราบปรามฝ่ายตรงข้ามอย่างโหดเหี้ยม

ดังนี้ เมื่อนั้น ยึก บุนชัย ถูกไล่ล่าทุกพื้นที่ ทั้งภาคพื้นดินและอากาศ นานร่วม 2 สัปดาห์ แต่เขากลับหายตัวอย่างลึกลับ ราวกับเป็นจอมอาคมขมังเวทย์

โดยในที่สุด ก็สามารถดั้นด้นไปถึงเขตบันเตียเมียนเจย ติดกับพรมแดนไทยทางทิศตะวันตกของประเทศ ด้วยอาการที่หมดสติจากพิษไข้ป่า

 

ด้วยสายสัมพันธ์สมัยต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ตามแนวชายแดน ยึก บุนชัย ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันคนกลุ่มดังกล่าว ได้กลับมามีตำแหน่งใหญ่โตในรัฐบาลทหารของไทยอีกด้วย

แต่ไม่มีใครทราบถึงจิตใจของนายพลลูกชาวนาจากแขวงทะมอปั๊วะ/เขตบันเตียฉมาร์ผู้นี้ สำหรับอาชีพนายทหาร-นักการเมืองที่เป็นถึงระดับคีย์แมนคนเดียวที่เหลืออยู่ของฟุนซินเปก

นับแต่ปลายปี ค.ศ.1997 ที่เขากลับมานครพนมเปญอีกครั้ง ยึก บุนชัย ได้กลายเป็นข้อต่อรองการเมืองระหว่างพรรคของตนกับฟุนซินเปก ท่ามกลางครั้งแล้วครั้งเล่าที่พรรคของเขาไม่เคยประสบชับชนะในการเลือกตั้ง (1998/2003/2008 และ 2013)

แต่ไม่ว่าจะพ่ายแพ้เช่นไร ยึก บุนชัย ก็ยังมีตำแหน่งเป็นนายพล ที่ไม่มีบทบาทใดในกองทัพและยึดหัวหาดตำแหน่งรองประธานรัฐสภาลำดับที่ 2 ที่หัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชาเจาะจงมาให้

และเท่ากับ ยึก บุนชัย กลายเป็นตัวแทนแห่งการเจรจาระหว่าง 2 พรรคทั้งทางลับและทางแจ้งตลอด 15 ปีที่ผ่านมา

ไม่เพียงแต่เท่านั้น เมื่อย้อนดูเหตุการณ์สำคัญๆ ที่นำพาให้เขาต้องขันขื่นกับบทบาทตั้งแต่ “ทิ้งลูกน้อง-ขับ/ฟ้อง/ร้องนาย/ไล่ออกจากพรรค” ที่ช่วยเสริมส่งให้ชีวิตมีแต่โดดเดี่ยวของ ยึก บุนชัย ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

ใช่เพราะจำต้องสยบต่อกุศโลบายอันกดดันและเกี้ยวกราดของเดโชฮุนแต่อย่างเดียว

หากแต่ความเห็นแก่สุขสบายส่วนตัวในหลายๆ ครั้งของบรรดาเจ้านายฝ่ายฟุนซินเปกบางคนต่างหาก ที่ทำให้เขาหมดใจจะบูชา

กระนี้กระไรยังพบว่า ไม่ว่าจะทำให้น้อยหรือมาก ยึก บุนชัย ก็มีฐานะแค่ “เหลือบไร” ตัวหนึ่ง

ไม่มีวันที่เลือดในกายของเหลือบไรอย่างเขาจะกลายจากสีแดงเป็นสีน้ำเงินไปได้

 

เช่นเดียวกัน ไม่ว่าเขาจะภักดีบูชาต่อท่านเดโชฮุนสักเพียงใด แต่ ยึก บุนชัย ก็ทำได้เพียงเป็นแค่ “คนนอก”

ไม่มีวันที่ สมเด็จฮุน เซน จะไว้เนื้อเชื่อใจคนที่เคยเป็นศัตรู

20 ปีมานี้ ยึก บุนชัย จึงเป็นได้แค่บริวารชั้น 2 ของสมเด็จ มีศักดิ์เท่ากับแมวเก้าชีวิต แต่กลับไม่มีสิทธิ์ที่จะริเล่นการเมืองใหญ่ในเงาของสมาชิกพรรคซีพีพี

ความลีบเล็กของเขา เห็นได้จากราวต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยึก บุนชัย ถูกสมเด็จฮุนประกาศขับไล่ออกจากความสัมพันธ์ใดๆ ทางการเมือง เพียงเพราะว่าก่อนการเลือกตั้งสมัชชาท้องถิ่นไม่นาน เขาได้ไปพบปะและสนทนากับคนของพรรคสงเคราะห์ชาติ

อันถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์ และสมเด็จฮุนไม่อาจจะรับได้!

โดยเฉพาะเมื่อผลการเลือกตั้งท้องถิ่นในเดือนมิถุนายน ที่สร้างความผิดหวังต่อสมเด็จ ทั้งพรรคปรองดองชาติที่ ยึก บุนชัย เพิ่งก่อตั้ง กลับได้คะแนนเพียงไม่ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ของสัดส่วนคะแนนทั้งหมด

โดยนอกจากจะไม่สามารถตัดคะแนนพรรคคู่แข่งแล้ว ยังไม่ช่วยเสริมส่งซีพีพีให้ขโมยฐานเสียงเชิงสถิติ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2013 เขตบันเตียเมียนเจยที่ฟุนซินเปกชนะแต่ถูกซีพีพีขโมยฐานคะแนนในเชิงสถิติไปไปซึ่งหน้า

และเป็นสาเหตุทางหนึ่งที่ทำให้ ยึก บุนชัย หมดที่สัมปทานในฟุนซินเปก จนเขาต้องออกมาตั้งพรรคใหม่

ด้วยความขลาดกลัวที่จะเป็นผู้เผชิญหน้าต่อความจริง ตลอด 2 ทศวรรษแห่งรัฐประหารมานี้ จึงไม่แปลกเลยที่ พลเอกยึก บุนชัย จะประสบแต่ความโดดเดี่ยว

โดยไม่แยแสว่าจะเคยถูก สมเด็จฮุน เซน กุดปราบมากี่ครั้ง แม้กระทั่งการที่เขาต้องยอมวิพากษ์นายเก่า สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ถึงความผิดพลาดที่ไม่ยอมเจรจา-สะสมอาวุธ โดยเลี่ยงที่จะกล่าวหาผู้ก่อเหตุตัวจริงที่เคยไล่ล่าพิฆาตตนจนเกือบจะสิ้นชีพ

ไม่เพียงเท่านั้น ยังยินยอมสูญเสียเกือบทุกสิ่ง มิตรภาพที่เคยคบหากับผู้คนในอดีต ผู้คนที่จากพรากไป เหลือไว้แต่ครอบครัวคนเหล่านั้น แต่ไม่มีใครยอมอภัยให้เขาเลย

วันวารแห่งชีวิตของเขาช่างโดดเดียวและสืบต่อมาถึงในวัยปัจฉิมของเขา

และห้วงเวลาทั้งหมดที่หมดไปกับอำนาจของ ฮุน เซน

 

น่าฉงนสนเท่ห์เหมือนกันสำหรับชีวิตอัครมหาเสนาบดีเดโชสมเด็จฮุน เซน หลังรัฐประหารผ่านไป 2 ทศวรรษ

ฮุน เซน ณ วันนั้น เขาส่งลูกสาว 2 คนไปเข้าโรงเรียนที่สิงคโปร์ ส่วนลูกชาย 3 หน่อ ซึ่งอยู่ระหว่างปิดเทอมฤดูร้อนโรงเรียนในสหรัฐจึงต้องไปพักร้อนกับพ่อ ที่หัวเมืองชายทะเลของเวียดนามทางตอนใต้

และในวัย 40 เศษๆ ฮุน เซน ผู้แข็งกร้าว ได้สำแดงแผงฤทธิ์ความเป็นผู้ปรารถนาต่ออำนาจ ปราบปรามฝ่ายตรงข้ามนับกองร้อย และนี่คือผลงานคร่าชีวิตคนร่วมชาติราว 200 ศพ จากการทำรัฐประหาร 5-7 กรกฎาคม ค.ศ.1997

เมื่อกุมชัยชนะเบ็ดเสร็จแล้ว ก็พาครอบครัวกลับประเทศ ราวกับไปพักร้อนเพียง 2 อาทิตย์ ที่สุดจะสดชื่น ทว่า วันนี้และช่วงเวลาเดียวกับเมื่อ 20 ปีก่อน

สมเด็จฮุน เซน เช่นเดิม เขาหายตัวไปจากประเทศอย่างลึกลับ กว่าประชาชนจะสังเกตทราบก็เข้าสัปดาห์ที่ 2 ตอนที่พวกเขาพบว่าในวันที่ 10 ที่รัฐสภาโหวตผ่านกฎหมายพรรคการเมืองฉบับใหม่ แต่กลับไม่มีเงา สมเด็จฮุน เซน

พลันมีเสียงเล็ดลือว่าเขาถูกส่งตัวไปแอดมิตที่โรงพยาบาลสิงคโปร์ ประเทศที่เขาเพิ่งระงับคำสั่งส่งออก “เม็ดทราย” นับหมื่นตัน เพื่อนำไปใช้ถมรอบๆ ชายฝั่งทะเลไปรอบๆ

แต่ สมเด็จฮุน เซน ซึ่งแวดล้อมไปด้วยลูกหลานและภริยา ทำประหนึ่งเหมือนว่าถ่ายรูปและโพสต์ในเฟซบุ๊กเล่น แต่อิริยาบถที่อิดโรยภายในห้องพักที่คล้ายกับโรงแรมในต่างประเทศ

แต่ทันทีที่ภาพนี้ถูกเผยแพร่ชาวโซเชียลก็พากันวิจารณ์อย่างหนักว่า ผู้นำกัมพูชา มีเกณฑ์ว่าจะเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง/มหารีก

จากภาพที่เห็นเขามีผ้าคาดเหมือนแปะถุงอุจจาระติดไว้ที่หน้าท้อง

 

มีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปมากในรอบ 2 ทศวรรษแห่งรัฐประหาร แม้จะสามารถสยบ ยึก บุนชัย จนกลายเป็นเพียงบริวารคนสุดท้ายผู้ยอมจำนน

แต่ในทางตรงกันข้าม นับวัน สมเด็จฮุนกลับผจญกับศัตรูที่หยาบช้าและหาตัวตนไม่ได้-ในโลกโซเชียล

พวกนี้แหละที่พยายามกรีดร้อง ก่นด่าราวกับเสียงของปีศาจ พวกมันยังปลุกอารมณ์ดิบที่ทำให้เขาต้องลุกขึ้นมาโต้ตอบแม้แต่เพลาที่นอนเจ็บอยู่ในโรงพยาบาล และในทันทีที่รู้ว่าเขาบินไปสิงคโปร์

ช่างเป็นช่วงเวลาประหลาดแห่งการชดใช้? การถูกไล่ล่าของสมเด็จฮุน แม้แต่ในยามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและมึนยา เช่น คลิปวิดีโอความยาว 2 นาทีอยู่ในรถตู้ทันทีที่เขาลงจากเครื่องบิน

“ไง พวกจอมมโนทั้งหลาย? ฉันนี่แหละ-ฮุน เซน คนที่แกถามหา”

ราวกับคนบ้าที่กำลังยื้อกับภาวะแห่งการมีตัวตน ต่อประดาสาวกโซเชียล ที่ต่างผิดหวัง พลันเมื่อรู้ตนว่าต้องรอต่อไป

หรือไม่ก็จนกว่าโรคามหารีกระยะสุดท้ายจะมาเยือน