คาร์บอมบ์ 24 สิงหาฯ ไม่ใช่คาร์บ๊อง/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

คาร์บอมบ์ 24 สิงหาฯ ไม่ใช่คาร์บ๊อง

 

นอกจาก “โทนี่ วู้ดซัม” จะกลายเป็นผู้มีบทบาททางความคิด เศรษฐกิจ และการเมือง ผ่านทางคลับเฮาส์แล้ว ยังทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับมาเป็นที่กล่าวขวัญในหมู่ประชาชนคนไทย ในฐานะอดีตผู้นำที่เคยประสบความสำเร็จในการแก้วิกฤตโรคระบาด วิกฤตมหาภัยพิบัติ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในด้านเศรษฐกิจที่เคยโดดเด่นอย่างมาก

กล่าวขวัญกันมากในยุคที่ผู้นำรัฐบาลมาจากอดีตผู้นำกองทัพ ซึ่งยากจะสอดรับกับสถานการณ์โควิดและเศรษฐกิจทรุดหนักเช่นนี้ได้

นำมาสู่เสียงเรียกร้องต้องการ ผู้นำรัฐบาล ที่มาจากคนรุ่นใหม่ มากวิสัยทัศน์ เก่งกาจด้านเศรษฐกิจ

แต่นั่นก็ได้คำตอบว่า เพราะการเมืองไทยได้เข้าสู่ยุคอำนาจอนุรักษนิยมการเมืองอันล้าหลัง จนทำให้เกิดการผูกขาดอำนาจ ยากจะเปิดกว้างให้มีคนเก่งๆ คนใหม่ๆ คนก้าวทันโลกยุคใหม่ เข้ามาร่วมบริหารประเทศ เพื่อแก้ไขวิกฤตขณะนี้ได้

พร้อมๆ กัน ทำให้สังคมไทยได้ทบทวนเรียนรู้ กระบวนการทำลายล้างทางการเมือง จนเป็นเหตุให้ทักษิณและยิ่งลักษณ์ต้องกลายเป็นผู้หลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศในขณะนี้

ผ่านกระบวนการล้มล้างด้วยการรัฐประหารถึง 2 ครั้ง เมื่อ 19 กันยายน 2549 ล้มทักษิณ ก็ยังทำได้ไม่ถึงรากถึงโคน จึงต้องมี 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อล้มยิ่งลักษณ์อีกรอบ

เมื่อพูดย้อนกลับไปถึงกระบวนการล้มล้างทักษิณ เมื่อไม่นานมานี้มีการหยิบยกเหตุการณ์คาร์บอมบ์เพื่อลอบสังหารทักษิณมาพูดถึงกันอีกครั้ง!

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม 2549 พบรถเก๋งแดวู สีบรอนซ์เงิน จอดอยู่ข้างสะพานข้ามแยกบางพลัด เป็นเส้นทางประจำที่ขบวนรถของนายกฯ ทักษิณจะต้องผ่าน โดยหน่วย รปภ.ของนายกฯ เห็นจอดผิดสังเกต จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ และจับกุมชายคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับรถดังกล่าว

จากการตรวจต้นรถแดวู พบวัตถุระเบิดทีเอ็นที ซีโฟร์ ถังแกลลอนบรรจุน้ำมันเบนซินผสมปุ๋ยยูเรียแผงวงจรควบคุมการระเบิด

จึงสรุปได้ว่าเป็นรถคาร์บอมบ์ที่เตรียมลงมือลอบถล่มขบวนรถของนายกฯ ทักษิณ โดยวิธีการกดรีโมตเพื่อให้ระเบิดทำงาน

ส่วนชายที่จับกุมได้พร้อมรถ ชื่อ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ เป็นนายทหารในราชการ

ต่อมาฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โหมโจมตีเหตุการณ์นี้ว่า เป็นเพียงแค่ละครจัดฉากของฝ่ายรัฐบาลทักษิณ มีการโหมโจมตีว่าเป็นคาร์บ๊อง ไม่ใช่คาร์บอมบ์

โดยไม่ยอมมองข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สุดคือ การจัดฉากสร้างเรื่อง จะต้องไม่มีตัวบุคคลถูกจับกุมเป็นผู้ต้องหาพร้อมของกลาง และที่สำคัญผู้ถูกจับคาของกลาง เป็นนายทหารที่เห็นโยงใยชัดเจนว่ามาจากกลุ่มอำนาจที่ต้องการโค่นทักษิณ

แล้วหลังจากนั้นไม่ถึงเดือน ก็มีรัฐประหาร 19 กันยายน เกิดขึ้น!

 

ในท่ามกลางกระแสเรียกหา “ทักษิณ” เช่นนี้ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา จึงมีการหยิบยกเหตุการณ์คาร์บอมบ์มาถกเถียงกันอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าเป็นหนึ่งในแผนกำจัดทักษิณออกไปจากการเมืองประเทศนี้ ด้วยวิธีโหดเหี้ยม

แม้ฝ่ายตรงข้ามกับทักษิณ โดยเฉพาะผู้นำม็อบเสื้อเหลือง ม็อบชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกหาทหาร ปูทางไปสู่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นั้น จะพยายามสร้างกระแสคาร์บอมบ์ เพื่อทำให้เหตุการณ์คาร์บอมบ์หมดความหมายไปให้ได้

แต่คาร์บอมบ์ก็ไม่อาจฝืนข้อเท็จจริงในทางคดีประการสำคัญ คือ

**ถ้าเป็นการจัดฉากสร้างเรื่อง ต้องไม่มีตัวผู้ต้องหา แถมเป็นนายทหารระดับร้อยโท ที่เชื่อมโยงกลุ่มคนในเครื่องแบบที่อยู่ตรงข้ามทักษิณได้ชัดเจน จะไปว่าจ้างให้มาเป็นแพะได้อย่างไร!?**

ไม่แค่จับกุม ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ได้คาหนังคาเขา แต่ยังให้การรับสารภาพ ทำให้พยานหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงนายทหารอีก 2 ราย คือ พ.อ.มนัส สุขประเสริฐ และ พ.อ.สุรพล สุประดิษฐ์ หรือเสธ.ตี๋ นายทหารสังกัด กอ.รมน. จนถูกจับกุมดำเนินคดีเพิ่มอีก

ส่วนผลการตรวจพิสูจน์ระเบิดภายในรถเก๋งดังกล่าว พบว่าต่อวงจรไว้สมบูรณ์แบบ พร้อมทำงาน แต่จังหวะพยายามจะกดรีโมตเพื่อให้ระเบิดทำงานนั้น คนกดพยายามหามุมหลบเพื่อให้ตัวเองปลอดพ้นฤทธิ์ระเบิด เพราะรู้ดีว่ามีอานุภาพทำลายล้างรุนแรง จนทำให้มุมสัญญาณรีโมตไม่สามารถสั่งการได้ ทำให้แผนสังหารล้มเหลว

ต่อมานายทหารทั้ง 3 ถูกดำเนินคดี อัยการเห็นว่าคดีมีน้ำหนักไม่เลื่อนลอย จึงส่งฟ้องต่อศาลทหาร เนื่องจากผู้ถูกจับกุมทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร

ข้อเท็จจริงเหล่านี้ จึงหักล้างข้อกล่าวหาที่ว่าเป็นคาร์บ๊องได้อย่างสิ้นเชิง

ไม่เท่านั้น หลังคาร์บอมบ์วันที่ 24 สิงหาคม 2549 ต่อมาในวันที่ 19 กันยายน ก็เกิดรัฐประหารล้มทักษิณตามมา

ยิ่งไปกว่านั้น คดีคาร์บอมบ์ในยุคที่ทหารเข้ายึดอำนาจล้มทักษิณไปแล้ว ก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งถ้าหากเป็นแค่การสร้างเรื่องและจับนายทหารมาเป็นแพะถึง 3 คน แล้วถ้าคดีไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนจริง คดีคงจะต้องสิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่หลังการรัฐประหาร

แต่คดีก็ดำเนินไปในศาลทหาร จนเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2552 ศาลทหารมีคำพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดจริง ในพฤติการณ์ในการนำรถประกอบระเบิดที่ต่อวงจรไว้ครบถ้วน สามารถใช้ก่อเหตุได้จริงทำอันตรายต่อชีวิตได้จริง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้ง 3 คน 6 ปี ปรับคนละ 4,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 คือ ร.ท.ธวัชชัย ให้การเป็นประโยชน์จึงให้ลดโทษเหลือ 4 ปี 6 เดือน ปรับ 3,000 บาท ส่วนข้อหาพยายามฆ่าทักษิณนั้น ยังไม่มีพยานหลักฐานรองรับเพียงพอ จึงยกฟ้องในข้อหานี้

ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ศาลทหารสูงสุดอ่านคำพิพากษาหลังจำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์ โดยมีคำพิพากษายืนตามองค์คณะตุลาการศาลทหารกรุงเทพ

 

สาระสำคัญในคำพิพากษาของศาลทหารก็คือ คำพิพากษาระบุว่า จำเลยทั้งสามได้บังอาจนำวัตถุระเบิดมาประกอบเป็นระเบิดแสวงเครื่องติดในรถยนต์ และมีการเชื่อมต่อระบบวงจรครบถ้วน ซึ่งสามารถที่จะระเบิดสังหารบุคคลหรือทำอันตรายให้แก่บุคคลอื่นถึงแก่ความตายได้ โดยใช้คลื่นวิทยุส่งสัญญาณเป็นเครื่องจุดวัตถุระเบิด

จำเลยที่ 1 ขับรถออกจาก กอ.รมน. ไปยังบริเวณใต้สะพานแยกบางพลัดในวันที่ 24 สิงหาคม 2549 ซึ่งจำเลยทั้งสามได้กระทำการโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะไม่พอใจการกระทำของทักษิณ แต่มีเหตุขัดข้องที่เครื่องส่งสัญญาณจึงไม่อาจจุดระเบิดได้

นอกจากนี้ ยังมีคำให้การกรณีไปที่สนามกอล์ฟ ทบ. โดยพยานยังได้ยินจำเลยที่ 3 พูดกับจำเลยที่ 2 ว่านายใหญ่มาแล้ว และเมื่อไปถึงก็ได้พบว่าเป็นนายทหารยศ พล.อ. ที่อยู่ในรถเบนซ์สีดำ โดยมี พล.ต.อีกคนยืนรออยู่ จากนั้นได้ร่วมกันหารือเพื่อวางแผน

เมื่อพิจารณาเอกสารประกอบพร้อมคำยืนยันของจำเลยที่ 1 ที่มีใจความสำคัญว่า พอรู้ว่ามีระเบิดที่มีอานุภาพรุนแรง หากเกิดระเบิดจริงจะเสียใจมาก เพราะจะมีตราบาปไปตลอดชีวิต และจำเลยที่ 1 ยอมสำนึกผิด เพราะเพิ่งทราบว่าระเบิดรุนแรงขนาดไหน

ศาลทหารกรุงเทพ จึงตัดสินว่า จำเลยทั้ง 3 มีความผิดจริงในข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้งร่วมกันเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดและพาไปในเขตเมืองโดยไม่มีเหตุอันสมควร และร่วมกันมียุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาต

แต่ให้ยกฟ้องในข้อหาพยายามฆ่านายทักษิณ เนื่องจากพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอรองรับ

ทั้งหมดนี้คือคำยืนยันว่า ปฏิบัติการคาร์บอมบ์เป็นเรื่องจริง มีคำรับสารภาพ และมีพยานหลักฐานรองรับ มีการเตรียมการจะกดระเบิดเพื่อสังหารกันจริง

เท่ากับเป็นการอธิบายให้เห็นว่ากระบวนการล้มล้างทักษิณ ซึ่งพร้อมๆ กันคือล้มระบอบประชาธิปไตยนั้น

กระทำอย่างเอาจริงเอาจังและเอาเป็นเอาตาย มาตั้งแต่ในปี 2549!