ผบ.ตร.ปรับยุทธวิธี สมรภูมิดินแดง ย้ายตู้คอนเทนเนอร์-สกัดจับกลุ่มก่อเหตุ ริบหรี่! ฟื้นวิกฤตศรัทธา สถาบันตำรวจ/โล่เงิน

โล่เงิน

 

ผบ.ตร.ปรับยุทธวิธี สมรภูมิดินแดง

ย้ายตู้คอนเทนเนอร์-สกัดจับกลุ่มก่อเหตุ

ริบหรี่! ฟื้นวิกฤตศรัทธา สถาบันตำรวจ

ตํารวจประกาศปรับยุทธวิธีจัดการกับกลุ่มวัยรุ่นที่ออกมาแสดงสัญลักษณ์รายวัน บริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

แต่ยิ่งปรับเท่าไหร่เหมือนยิ่งทำให้ภาพลักษณ์สถาบันตำรวจติดลบมากขึ้น

ความรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำวันที่ 20 สิงหาคม ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) จ่อยิงกระสุนยางใส่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในระยะประชิดหลายนัด หลังโบกให้รถจักรยานยนต์คันหนึ่งให้หยุด ระหว่างผ่านจุดตรวจค้นอาวุธและวัตถุอันตราย ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

และภาพของพนักงานสาวที่กำลังขับจักรยานยนต์ เดินทางกลับบ้านแต่ถูกสาดกระสุนยางใส่กลางหลังบริเวณเลียบทางด่วน ข้างสำนักงาน ป.ป.ส. จนพลเมืองดีต้องเร่งช่วยเหลือ เนื่องจากผู้ได้รับบาดเจ็บหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีการยืนยันว่าขณะเกิดเหตุไม่มีการแจ้งปิดเส้นทาง หรือแจ้งเตือนแต่อย่างใด

ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ยังมีการแชร์ภาพวัยรุ่นถูกยิงด้วยกระสุนยางเข้าที่ศีรษะ จำนวน 8 นัด จนเลือดอาบด้วย

เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น สังคมฮือประณามยุทธวิธีของ คฝ. ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครคือผู้มาชุมนุมอย่างแท้จริง ไม่มีความอดทนอดกลั้น และไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักสากล

 

ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษก บช.น. ชี้แจงปมร้อน ระบุคลิปเหตุการณ์ชุมนุมวันที่ 20 สิงหาคม มีจำนวน 18 คลิป ต้องขอใช้เวลาในการตรวจสอบว่าคลิปใดเป็นคลิปจริงและคลิปปลอม หรือคลิปจริงที่ตัดทอนมาบางส่วน และขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณ

แต่ตามหลักการใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชน จะใช้ก็ต่อเมื่อยับยั้ง ห้ามปราม ระงับเหตุ ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล

ส่วนการยิงระยะประชิดและช่วงตัวท่อนบนนั้น ต้องดูเจตนาของเจ้าหน้าที่ ว่าเป็นการระงับเหตุวุ่นวาย หรือเป็นการป้องกันตัวเองหรือไม่อย่างไร

ท่าทีคำชี้แจ้งของตำรวจ ขัดแย้งกับแนวปฏิบัติของสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่เป็นอันตรายที่ไม่ถึงแก่ชีวิต (อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำ) เพื่อการบังคับใช้กฎหมาย (United Nations Human Rights Guidance on Less-Lethal Weapons in Law Enforcement) สรุปแนวทางการใช้ “กระสุนยาง” ไว้ว่า ควรถูกใช้ในการเล็งยิงไปที่ช่องท้องส่วนล่าง หรือขา ของบุคคลที่ใช้ความรุนแรงเท่านั้น และเฉพาะกรณีที่เล็งเห็นว่ากำลังจะเกิดอันตรายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือสาธารณชน

ทั้งนี้ การเล็งยิงไปที่ใบหน้า ศีรษะ หรือลำคอ อาจทำให้กะโหลกร้าวและการบาดเจ็บทางสมอง ความเสียหายต่อดวงตารวมถึงการสูญเสียการมองเห็นถาวร หรือแม้กระทั่งการเสียชีวิต

ไม่ควรยิงจากที่สูง เพิ่มความเสี่ยงที่จะยิงเข้าที่บริเวณศีรษะ เล็งบริเวณลำตัวก็สามารถก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่อวัยวะสำคัญรวมถึงอาจทำให้กระสุนทะลุเข้าในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยิงระยะใกล้

ร้อนถึงผู้นำหน่วย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ต้องออกโรงด้วยตนเองว่า ในสถานการณ์การปะทะ การตัดสินใจไม่ใช่เรื่องง่าย เราส่งคนเข้าไปทำงาน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าจะโดนหัวน็อตยิงเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น การตัดสินใจตนไม่อยากไปโทษใคร แต่พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ ก็ได้สั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ให้อดทนอดกลั้น แม้กลุ่มผู้ก่อเหตุจะเล่นนอกกติกาก่อความรุนแรงก็ตาม แต่ตำรวจต้องอดทนและปฏิบัติภายในกติกากฎหมายและยุทธวิธีสากล

พร้อมสั่งปรับยุทธวิธีอีกครั้ง กำชับไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปปฏิบัติการภายในที่พักอาศัย ชุมชน หรือซอยขนาดเล็ก เน้นการรักษาพื้นที่บริเวณถนนเส้นหลัก ป้องกันไม่ให้มีการเผาทำลายทรัพย์สินของทางราชการและทรัพย์สินของประชาชน หรือโจมตีเจ้าหน้าที่

รวมถึงยกเลิกการตั้งตู้คอนเทนเนอร์ที่ขวางถนนวิภาวดีรังสิต ขาออก ใกล้สามเหลี่ยมดินแดงที่จะมุ่งหน้ากรมทหารราบที่ 1

และยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ปกป้องบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นการปกป้องสถานที่ราชการ

 

คลิปเก่าไม่ทันคลี่คลาย คลิปใหม่มาเติมเชื้อไฟอีกครั้ง

22 สิงหาคม หลัง ผบ.ตร.สั่งย้ายตู้คอนเทนเนอร์ออกจากสมรภูมิดินแดง ไปตั้งใกล้เคียงกรมทหารราบที่ 1 ได้เพียง 1 วัน วัยรุ่นทะลุแก๊สก็ย้ายสถานที่มาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการปาระเบิดปิงปอง ไปป์บอม ยิงลูกแก้วเข้าใส่แนวตำรวจบริเวณกรมดุริยางค์ทหารบก ตำรวจตอบโต้ด้วยการใช้ฉีดน้ำแรงดันสูง ยิงแก๊สน้ำตาผลักดันผู้ก่อเหตุออกจากพื้นที่

นอกจากนี้ คฝ.ยังใช้ชุดเคลื่อนที่เร็ว นั่งท้ายกระบะลงจากทางด่วน ปิดหัวปิดท้าย ก่อนลงมากระหน่ำยิงใส่ผู้ชุมนุมที่กำลังขับจักรยานยนต์หนีรถจีโน่ จนล้มระเนระนาด

ปฏิบัติการครั้งนี้ตำรวจจับกุมวัยรุ่นทะลุแก๊สทั้งชายและหญิงได้ 42 คน ยึดจักรยานยนต์ 27 คัน ระเบิดปิงปอง 35 ลูก และอาวุธปืน, เครื่องกระสุนปืน ระเบิดแสวงเครื่อง อีกจำนวนหนึ่ง

เป็นอีกครั้งเมื่อคลิปเหตุการณ์ความรุนแรงถูกเผยแพร่ออกไป สังคมวิพากษ์วิจารณ์ คฝ.กระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่

ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนะเจริญ รองโฆษก ตร. อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ในการจับกุมที่ดำเนินการหลังจากที่ประกาศเตือนมีการใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก มีการดำเนินการทุกรูปแบบ มีการผลักดันเข้า-ออกภายนอก หากมองว่าภาพความรุนแรงนั้น อยากให้มองอีกมุมหนึ่ง คือเป็นการดำเนินการเพื่อระงับยับยั้งการก่อเหตุความวุ่นวายทั้งหมด เมื่อ 22 สิงหาคม หรือในหลายวันที่ผ่านมาไม่ใช้การเคลื่อนไหวที่ออกมาเรียกร้องอะไรแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการปรับแผนในการจับกุม บอกให้หยุดก็ไม่หยุด ใช้น้ำผสมแก๊สน้ำตาฉีดก็ไม่ถอย จึงต้องมีการระงับยับยั้งจับกุม

กรณีของรถจักรยานยนต์ที่ทุกคนเห็นก็ดี ที่มีการวิ่งหนีออกจากพื้นที่ก็ดี ถ้าเทียบกับการจับกุมในประเทศอื่น ผู้ที่เป็นผู้ก่อเหตุคงไม่ยืนหรือนั่งอยู่เฉยให้จับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจมีแนวทางที่ทำการจับกุมลักษณะดังกล่าว

อย่างไรก็ดี ผบ.ตร.อย่าลืมว่านอกจากการปรับยุทธวิธีปราบแก๊งวัยุร่น มีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือ จะกู้วิกฤตศรัทธาองค์กรตำรวจ ที่เหลือน้อยเต็มที ให้กลับมาได้อย่างไร