ห่วยแล้วยังคิดว่าตัวเองสวย

คำ ผกา

“ค่าสอบแอดมิชชั่น 10 อันดับ 900 บาท ไม่แพงเลย”

“บางสาขา เขาตั้งเกณฑ์สูง เพราะต้องการคนมีคุณภาพ จะได้เรียนรอด คนที่บอกว่าอยากจะเรียน แต่คุณสมบัติไม่ถึง อยากให้เปิดโอกาส เขาก็บอกว่า เปิดโอกาสไปก็ไม่ผ่านการคัดเลือกหรอก เพราะคนมีคุณสมบัติถึง มันมีมากพอที่เขาจะคัดเลือกแล้ว ถ้าเปิดโอกาสลงมาสมัครฟรี ยังไงก็ไม่ได้ เพราะมีคุณภาพสมัครเพียงพอให้เขาใช้งานคัดเลือกได้”

บางตอนจากการแถลงข่าว TCAS65 โดย ดร.พีระพงศ์ ตริยเจริญ ผู้ช่วยเลขาธิการที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย และผู้จัดการระบบ TCAS ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเรื่องท่าที น้ำเสียง ทัศนคติ ที่ดูราวกับไม่รู้ว่าโลกภายนอกที่ประชุมอธิการบดีนั้น คนทั้งหลายเผชิญกับทุพภิกขภัยอะไรอยู่

ฉันไม่รู้เหมือนกันว่า ระบบการสอบคัดเลือกเข้าเรียนต่อในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐนั้นมาอยู่ภายใต้การดูแลของ “ที่ประชุมอธิการบดี” ได้อย่างไร?

และเรารู้ได้อย่างไรว่า “ที่ประชุมอธิการบดี” นี้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเรื่อง “การสอบคัดเลือก”

นั่นแปลว่า เราไม่มีทางรู้เลยว่า การสอบคัดเลือกผ่านระบบ TCAS ที่ผ่านมามีมาตรฐานจริงหรือไม่?

ฉันยังจะไม่พูดว่าค่าสอบ 900 บาทแพงหรือถูก

แต่ตั้งคำถามที่เรียบง่ายที่สุดก่อนว่า ที่ประชุมอธิการบดีรู้หรือไม่ว่า เด็กที่สอบผ่านระบบ TCAS เข้ามหาวิทยาลัยมาแล้ว ในสองปีที่เราเผชิญกับการระบาดของโควิด พวกเขายังไม่ได้เข้ามานั่งเรียนในมหาวิทยาลัย และยังคงเรียนระบบออนไลน์อยู่?

คำถามต่อมาคือ ถ้ารู้ว่านิสิต นักศึกษาที่สอบผ่านมาแล้วต้องเรียนระบบออนไลน์ ทางที่ประชุมอธิการบดีได้เคยพยายามจะ “รับรู้” ถึงปัญหาในมิติต่างๆ ของการเรียนออนไลน์หรือไม่?

รวมทั้งเคยมีความพยายามจะช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของนักศึกษาที่ต้องจ่ายค่าเทอมเต็มแต่กลับไม่ได้รับ “การศึกษา” ในคุณภาพที่ควรจะได้ และมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มจากการเรียนออนไลน์ด้วย

ถ้าไม่คิดเรื่อง “ค่าใช้จ่าย” ในฐานะที่เป็นที่ประชุมอธิการบดี เคยมี “ข้อกังวล” ใจสักนิดหรือไม่เกี่ยวกับคุณภาพของการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากจะทำท่าจองหอง พองขน ราวกับว่า มหาวิทยาลัยของตนเลิศฟ้ามาดิน ใครๆ ก็อยากมาเรียน ชั้นเริ่ด ชั้นสวย ชั้นเก๋ ชั้นต้องการคัดแต่หัวกะทิๆ คนที่เก่งจริงๆ เข้ามาเรียน เพราะขืนเปิดกว้างให้ใครมาเรียนก็ได้ สุดท้ายก็เรียนไม่รอด – นี่ดูหน้าชั้นสิ หน้าตาคนเรียนเก่ง สมองดี เป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย คือหน้าตาแบบนี้ พูดจาแบบนี้ ฉลาดแบบนี้ เข้าใจไหม?

แหม…ถ้าคิดว่ามหาวิทยาลัยของรัฐทั้งหลายเริ่ดเสียเต็มประดา สวยเลือกได้ ใครๆ ก็อยากมาเรียน

ถามคำเดียวว่า แล้วถ้าอยากนั้นจะดิ้นรนเปิดหลักสูตรพิเศษ หลักสูตรอินเตอร์กันทำไม

อาจารย์มหาวิทยาลัยทุกคนรู้ว่า ลำพังหลักสูตรปกติ “สวยเลือกได้” นั้นสร้างรายได้ไม่พอยาไส้ให้กับมหาวิทยาลัยที่ถูกถีบออกนอกระบบ จนต้องมาเปิดหลักสูตรพิเสษ หลักสูตรอินเตอร์ หลักสูตรผู้บริหารบ้าบอคอแตกเยอะแยะไปหมด เพราะ “หิว” นั่นล่ะ

ดังนั้น พวกคนที่สอบไม่ผ่านแต่มีเงินก็สามารถเข้ามาเรียนหลักสูตรเหล่านี้ โดยมีครูบาอาจารย์พร้อมช่วยพร้อมอุ้ม ส่งให้ได้รับปริญญากันถ้วนหน้าทั้งๆ ที่ไม่ qualified ตามมาตรฐานวิชาการที่ชอบอ้างกันนั่นแหละ

แต่ก็ไม่ยุติธรรมนักที่เราจะบอกว่าเด็กไม่ qualified เพราะทุกวันนี้ ranking หรืออันดับความเป็นเลิศทางวิชาการของมหาวิทยาลัยไทยก็ตกฮวบๆ

ถามว่ามีนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยไทยคนไหนมีผลงานตีพิมพ์ และได้ถูกอ้างอิงในระดับ “อินเตอร์” บ้าง

คำตอบคือ มีน้อยแบบนับนิ้วมือถ้วน และเท่าที่ฟังนักวิชาการไทยจำนวนหนึ่งพูดหรือเขียน

และยิ่งกลุ่มที่ไปขึ้นเวที กปปส. เราก็ได้แต่เอามือปิดหน้า เพราะคุณภาพทางวิชาการอยู่แค่ระดับเด็กประถมปลายจัดบอร์ดประกวดระดับงานฤดูหนาวประจำจังหวัด

 

ทั้งหมดนี้ฉันกำลังจะบอกว่า มหาวิทยาลัยของรัฐทุกมหาวิทยาลัยในตอนนี้เอาความมั่นใจมาจากไหนว่า พวกคุณจะอยู่ในฐานะ “สวยเลือกได้” มีแต่คนแย่งกันมาสอบเข้า สูงส่ง เลิศเลอ เพราะอนาคตอันใกล้ของมหาวิทยาลัยไทยสำหรับฉันคือ ความอับเฉา คือแดนสนธยา และสักวันหนึ่งคงร้างใกล้เคียงกับป่าช้า ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

หนึ่ง เด็กไทยที่ฐานะปานกลางถึงดี จะไปเรียนต่างประเทศ เพราะปัจจุบัน การแข่งขันกันหาลูกค้าของมหาวิทยาลัยจากทั่วโลกสูงมาก เช่น ประเทศญี่ปุ่น ลงทุนทำเพจ มีทีมงานโฆษณาการไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น พร้อมดูแล ช่วยเหลือ หาทุน หามหาวิทยาลัยที่เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน และทั้งหมดนี้ในประเทศไทยทำทุกอย่างเป็นภาษาไทย

ดังนั้น ฉันอยากจะบอกเด็กไทยว่า ถ้า TCAS มันรุงรังนัก ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับการไปเรียนต่างประเทศ มีมหาวิทยาลัยดีๆ มากมาย พร้อมให้โอกาสและให้ทุนการศึกษากับคุณ

สอง การเรียนออนไลน์ของระดับอุดมศึกษาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเด็กเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบถึงคุณภาพ “อาจารย์” ด้วย

อาจารย์มหาวิทยาลัยวัยสามสิบ-ถึงห้าสิบที่น่าจะเป็นห้วงอายุที่แอ๊กทีฟ กลายเป็นบุคลากรที่ขาดความกระตือรือร้น สมอง “ว่าง” เพราะไม่มีงานสัมมนา ไม่มีคลาสที่ท้าทาย ไม่ได้ไปเสนอเปเปอร์ทางวิชาการต่างประเทศ หลายคนที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงทางวิชาการ ถ้าไม่กลายเป็นหมารับใช้เผด็จการก็กลายเป็นเซื่องซึม หนีโลกไปเลี้ยงลูก ทำสวน ทำอาหาร สอนออนไลน์แบบซังกะตายไปวันๆ บ้างถึงกับออกปากว่า เขียนภาษาอังกฤษแทบไม่ได้แล้ว

สาม ภาวะสังคมสูงวัย เด็กน้อยลง และเด็กที่ยากจน หรือเกือบยากจน เมื่อเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากปัญหาโควิด จะมีเด็กจำนวนมาก ย้ำว่ามาก หลุดออกจากระบบการศึกษาตั้งแต่ประถม หรือมัธยมต้น ไม่แม้แต่จะเข้าเรียน ม.ปลาย ดังนั้น จะไม่มีใครมาสอบ TCAS ของคุณ

นี่ยังไม่นับว่า ในสอง-สามปีข้างหน้า เราจะตอบคำถามเด็กๆ ไม่ได้ว่า เราจะเรียนมหาวิทยาลัยไปทำไม?

เรียนเป็นหมอ ก็โดนด้อยค่าในระบบโซตัสหมอ หมอเด็กทำงานหนักแทบตาย และหลายคนก็ตายไปจริงๆ แถมในช่วงโควิด หมอหลายคนจุกมาก ที่ตนเองได้ฉีดซิโนแวค แทนที่จะได้ไฟเซอร์ เจออะไรแบบนี้ หลายคนก็คงถามตัวเองว่า ฉันจะลงทุนลงแรงเรียนมาจนถึงขนาดนี้แล้วกลายเป็น “ทาส” ของหมอแก่ๆ หมออาวุโสไปจนตายเพื่ออะไร?

ไม่เรียนหมอ สมัยนี้เรียนอะไรก็ตกงาน แล้วจะเรียมหาวิทยาลัยที่ต้องจ่ายเงินแพงๆ ไปเพื่ออะไร?

สี่ อยากเรียนอักษรศาสตร์ มนุษยศาสตร์ เพื่อจะลึกซึ้ง รู้ศิลปวิทยาการเชิงปรัชญา ก็ไม่ได้ เพราะร้อยละเก้าสิบเป็นเนื้อหาล้างสมองประชาชน

แถมการเรียนสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สามารถลงทะเบียนเรียนออนไลน์กับนักวิชาการชื่อดังจากทั่วโลกได้

ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า สายสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยไทยจะหมดความหมายไปในเร็ววัน

และ ห้า ไม่มีงานวิจัยที่น่าสนใจออกมาอีกก็ยิ่งจะไม่เหลืออะไรเลย

ส่วนลูกหลานคนจนแบบทะลุแก๊ส พวกเขาก็คงขวนขวายทำมาหากิน และไม่ต้องการข้องแวะอะไรกับระบบมหาวิทยาลัยโดยสิ้นเชิง

ตัวฉันที่มีหลานวัยเรียน ก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้เข้ามหาวิทยาลัย แต่จะให้ทำอาหารได้ หาเห็ด เก็บหน่อ ขับรถ ฝึกทักษะการใช้ชีวิต และเลือกหนทางการประกอบอาชีพตามอัตภาพไปเลย

เพราะมองอย่างไรก็ไม่คุ้มกับการลงทุนในการศึกษาประเทศไทยที่พ่อ-แม่จ่ายเองทุกอย่าง รวมแล้วคนละหลายล้านบาทจากอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย เพื่อจะจบออกมาแล้วได้เงินเดือนในแบบที่พ่อ-แม่ยังต้องซื้อรถ ผ่อนบ้านให้

ฟังการแถลงข่าวของ TCAS65 แล้วก็ชวนให้เวทนาคนเหล่านี้ว่าช่างไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นไม่มีความหมายอะไรอีกแล้วเลยในสังคมไทย ในวันที่มหาวิทยาลัยโคตรไร้ค่า ยังมีหน้ามาแถลงข่าวเหมือนฉันยังสวยเลือกได้

อย่าว่าแต่เงินเก้าร้อย เงินเก้าบาทยังแพงเกินไปสำหรับคุณภาพของของพรรค์นี้