‘เพชร กรุณพล’ ราคาที่ต้องจ่าย ของ ‘ดาราคอลเอาต์’/เปลี่ยนผ่าน หนึ่งฤทัย ภูนิทาน

เปลี่ยนผ่าน

หนึ่งฤทัย ภูนิทาน

 

‘เพชร กรุณพล’

ราคาที่ต้องจ่าย

ของ ‘ดาราคอลเอาต์’

“เฉยๆ กับการที่ใครจะมาเรียกว่าเป็นพวกสามกีบ สลิ่มชุบตัว” นี่คือคำตอบของ “เพชร-กรุณพล เทียนสุวรรณ” ดาราที่เลือกแสดงจุดยืนทางการเมืองต่อหน้าสื่อ เมื่อถูกถามถึงวาทกรรมที่หลายคนมักหยิบมาพูดอยู่บ่อยครั้ง อาทิคำว่า เป็นกลาง สลิ่ม สามกีบ สลิ่มกลับใจ สลิ่มชุบตัว ฯลฯ

เพชร กรุณพล ออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองชัดเจนตั้งแต่ตอนที่เขาเลือกเปิดหน้าท้าชนรัฐบาล ด้วยการเข้าร่วมชุมนุมบริเวณท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2563

หลังจากนั้นมา เพชรก็เลือกที่จะสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยต่อเนื่อง

ประชาชนฝั่งเรียกร้องประชาธิปไตยจึงให้คำนิยามว่าเขาคือ “ดาราผู้มาก่อนกาล” ด้วยความที่นักแสดงผู้นี้เลือกจะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานรัฐบาล ก่อนหน้าที่จะมีกระแสเรียกร้องให้ดาราคนดังหลายคนออกมา “คอลเอาต์” เสียอีก

 

มติชนทีวีมีโอกาสสัมภาษณ์เพชร โดยเริ่มบทสนทนาด้วยคำถามที่ว่า ราคาที่ต้องจ่ายของเหล่าดาราคนดังที่เลือกออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองคืออะไร? มีผลได้หรือผลเสียมากกว่ากัน?

“การเสียงานเสียการหรือการถูกคำด่าเหยียดหยามจากคนที่เห็นต่างกับเราก็มีเยอะอยู่เหมือนกัน สิ่งหลักๆ ที่น่าจะเห็นชัดเลยก็คือการเสียงานเสียรายได้ เพราะว่าแน่นอนการออกมาคอลเอาต์ มันคือยืนตรงข้ามฝั่งผู้มีอำนาจ ไม่งั้นเขาไม่ออกมาคอลเอาต์หรอก เพราะถ้าผู้มีอำนาจทำถูกก็คงไม่มีใครอยากออกมาโวยวาย”

“บริษัทห้างร้านหรือว่าธุรกิจต่างๆ แม้แต่ธุรกิจบันเทิงก็จำเป็นที่จะต้องมีผลประโยชน์ร่วมกับผู้มีอำนาจ เพราะฉะนั้น ฟันเฟืองตัวเล็กๆ อย่างนักแสดงหรือว่าศิลปิน หรือนักร้องที่ออกมาต่อต้านผู้มีอำนาจ ก็ย่อมต้องมีอันเป็นไปเป็นเรื่องปกติครับ”

“เพราะว่าตอนนี้ผู้ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ใช้คำว่าส่วนใหญ่นะ ไม่ได้หมายความว่าเขาเลือกฝั่งรัฐบาล แต่เขามักจะเลือกฝั่งคนที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายได้ เพราะว่าธุรกิจต้องการกำไร ธุรกิจต้องการประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้น เขาก็ต้องเลือกฝั่งที่ให้คุณ ฝั่งไหนให้โทษเขาก็ไม่เลือก”

“มันเลยมองได้ 2 มุม คือถ้าคอลเอาต์แล้วมันสำเร็จ ผลดีที่ได้มันคือเกิดกับประชาชนทุกคน มันเกิดกับคนส่วนใหญ่ กับประเทศ คนที่กำลังประสบปัญหาก็จะได้รับการแก้ปัญหานั้นๆ”

“การออกมาคอลเอาต์ของคนที่มีชื่อเสียง ข้อดีก็คงได้รับการนับถือในกลุ่มคนที่เห็นด้วย แต่ว่าข้อเสียก็ค่อนข้างเยอะเหมือนกันอย่างที่บอกไป ตัวอย่างก็คือการเสียงานเสียการ” เพชรตอบ

 

แม้ปัจจุบัน ดาราดังหลายคนจะเริ่มออกมาคอลเอาต์ส่งเสียงถึงรัฐบาล ต่อกรณีการบริหารจัดการประเทศในช่วงวิกฤตโควิด-19 จนกลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญ แต่ก็ยังมีคนบันเทิงอีกหลายรายที่เลือกจะเงียบเสียง จึงเกิดข้อถกเถียงตามมาว่าเหล่าดารานักแสดงควรออกมาคอลเอาต์หรือไม่?

เพชรได้ให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว ผ่านการแบ่งประเภทดาราออกเป็น 3 กลุ่ม

“หนึ่ง คือคนที่ไม่ได้เห็นด้วยกับฝั่งม็อบ”

“สอง คือกลุ่มคนที่อยู่นิ่งๆ เห็นด้วยแต่ว่าไม่กล้า แล้วก็เลือกที่จะอยู่เงียบๆ แล้วค่อยรอออกมาตอนที่มีผู้ชนะแล้ว ก็คือเอาประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ฝั่งไหนชนะ วันนั้นจะเห็นคนพวกนี้ออกมาชื่นชมยินดี ออกมาด่าทอคนที่แพ้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชนะหรือฝั่งเด็กๆ ชนะ เราจะเห็นคนพวกนี้ออกมา”

“สาม คือกลุ่มคนที่เห็นด้วยคอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลัง แต่ว่าไม่ออกหน้า คือกลัวจากสิ่งที่เห็นจากนักแสดงคนอื่นอย่างตัวผม พี่ทราย เจริญปุระ น้องฟลุค เดอะสตาร์ ซึ่งแต่ละคนก็มีอันเป็นไปจากการออกมาคอลเอาต์ตั้งแต่แรกๆ”

“คนกลุ่มนี้ เขาก็จะเห็นตัวอย่างการออกมา ว่าสุดท้ายแล้วผลที่ได้มันเสียกับตัวเองมากกว่า ต่อให้สังคมโดยรวมได้ก็จริง แต่ถ้าตัวเองเสีย แล้วตัวเองไม่มีโอกาสที่จะกลับมายืนในตำแหน่งที่มีสิทธิพิเศษเหมือนเดิม เขาก็ไม่อยากจะออกมา ทำให้ (สิ่งที่) เรียกว่า ‘เซฟโซน’ ของเขามันถูกทำลายลง”

 

เมื่อถามถึงเรื่องวาทกรรมทางการเมืองต่างๆ เช่นคำว่า เป็นกลาง หรือการถูกตีตรายัดเยียดให้ต้องเป็นฝั่งใดฝั่งหนึ่ง อาทิ สามกีบ สลิ่ม สลิ่มกลับใจ สลิ่มชุบตัว ฯลฯ

เพชรให้ความเห็นพร้อมแสดงใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มว่า “ไม่มีหรอกคนเป็นกลาง มีแต่คนกลัว มันไม่มีกลางจริงๆ ในทางการเมืองมันมีซ้ายกับขวา อย่ามาบอกว่าคุณเป็นกลาง คุณแค่ไม่กล้าเลือกเพราะคุณกลัวผลที่จะตามมา ว่ามันอาจจะทำให้ใช้ชีวิตได้ลำบากขึ้น หรือทำให้เสียผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งไป

“แต่จริงๆ แล้วในใจทุกคนมีหมดว่าเห็นด้วยกับอะไร แต่อาจจะไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด เห็นด้วยกับม็อบไหม เห็นด้วยกับม็อบ แต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยทุกข้อ เลยเลือกที่จะไม่แสดงออกดีกว่า เห็นด้วยกับรัฐบาลไหม ก็ไม่ได้เห็นด้วยนะ แต่เขามีอำนาจ ไม่แสดงออกดีกว่า เวลาใครถามเลยบอกว่าตัวเองเป็นกลาง”

ดาราหนุ่มยังแสดงทัศนะต่อการที่ตัวเองถูกผลักไสให้กลายเป็นพวก “สามกีบ” ว่า

“เฉยๆ กับการที่ใครจะมาเรียกว่าเป็นพวกสามกีบ สลิ่มชุบตัว มันอยู่ที่ว่าเราจะยอมรับกับคำเหล่านั้นหรือเปล่า มันเหมือนเป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นคนด้วยการแทนตัวคนหนึ่งคนเป็นสิ่งเหล่านั้น”

“ซึ่งเอาจริงๆ มันก็เป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมาหมดว่า สลิ่มคืออะไร ก็มาจากเสื้อหลากสี มาจากเสื้อสีต่างๆ มารวมกัน แล้วก็กลายเป็นกลุ่มคนที่มีความเชื่อมีความคิดเห็นเดียวกัน เราถึงเรียกเขาว่าสลิ่ม สามกีบก็ชูสามนิ้ว พยายามด้อยค่าให้เป็นเหมือนควาย ซึ่งถามว่าถ้าเราไม่ได้เป็นแบบนั้น ก็ไม่เห็นต้องซีเรียส”

 

บทสนทนาครั้งนี้จบลงด้วยคำถามที่ว่า ถ้าการคอลเอาต์ของเพชรดังไปถึงหูของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาอยากสื่อสารอะไรให้นายกฯ ได้ยินชัดๆ

“อยากจะฝากบอกว่าโรงเรียนนายร้อยฯ เขาสอนให้คนเป็นลูกผู้ชาย คนเป็นลูกผู้ชายทำผิดก็ต้องยอมรับผิด เมื่อทำผิดแล้วก็ต้องแก้ไข ถ้าไม่มีปัญญาจะแก้ไขก็ควรจะเปิดทางให้คนที่เขามีความสามารถ (เข้ามา) แก้ไข ไม่ใช่ดื้อและดันทุรังแบบนี้”

“ชายชาติทหารที่ผมรู้จักมาทั้งชีวิตและที่คนทั้งประเทศรู้จัก เขาไม่ใช่นิสัยแบบนี้ เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ตัวว่าไม่ไหวก็จงไปเถอะ ประเทศนี้ไม่ใช่มีแค่ พล.อ.ประยุทธ์ ประเทศนี้ไม่ได้ต้องการแค่ทักษิณ ชินวัตร หรือธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) ประเทศนี้ยังมีคนที่มีความรู้ความสามารถที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้อีกมากมาย”

“ไม่ใช่ว่าประยุทธ์ไม่อยู่ (แล้ว) ทักษิณจะเข้ามาหรือธนาธรจะกลับมา แต่ประเทศนี้ยังมีคนอีกหลายคนที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วย เพื่อให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตไปได้ครับ”

เพชร กรุณพล ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ