นงนุช สิงหเดชะ/รัฐบาล “ครอบครัว-เครือญาติ”

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

รัฐบาล “ครอบครัว-เครือญาติ”

ยังคงมีเรื่องฉาวและไม่เหมาะสมออกมาไม่ขาด สำหรับ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ เหตุที่มีเรื่องฉาวได้มากขนาดนี้ก็เพราะเขาไม่เคยเรียนรู้จริยธรรมและแนวปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับคนเป็นประธานาธิบดี

หรือถึงรู้ก็ไม่แคร์เพราะคิดว่าตัวเองใหญ่ที่สุดในประเทศเนื่องจากประชาชนเลือกเข้ามาแล้ว

หากทรัมป์เป็นคน “ปกติ” น่าจะเรียนรู้บทเรียนแห่งความผิดพลาดได้ตั้งแต่บทเรียนแรกและที่สองแล้ว จากนั้นจะไม่ทำผิดพลาดอีกหรือระมัดระวังมากขึ้น

แต่กลับกลายเป็นว่าเขายังเดินหน้าทำผิดพลาดในแบบเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่านับครั้งไม่ถ้วนหนักข้อกว่าเดิม โดยไม่ยอมฟังเสียงท้วงติงใดๆ

เหตุที่ทรัมป์ทำอย่างนั้นได้เชื่อว่าเกิดจาก “วิธีคิด” ของเขาเอง กล่าวคือเห็นประเทศชาติกับธุรกิจส่วนตัวเป็นเรื่องเดียวกัน จึงใช้วิธีการบริหารและพฤติกรรมแบบเดียวกัน

โดยไม่ได้สนใจจะศึกษาใคร่รู้ว่าการเป็นประธานาธิบดีมีแนวปฏิบัติ-มารยาทหรือกฎหมายที่ต้องทำตามอย่างไร

ล่าสุดนี้ทรัมป์ทำสิ่งที่ไม่เคยมีประธานาธิบดีคนไหนทำมาก่อนอีกแล้ว

นั่นก็คือให้ อิวานก้า ทรัมป์ ลูกสาวคนโตของเขาซึ่งมีฐานะเป็นที่ปรึกษา ไปนั่งเก้าอี้แทนในการประชุมระดับผู้นำสูงสุดของกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ (จี 20) ที่เยอรมนีเมื่อต้นเดือนนี้

ซึ่งเรียกเสียงวิจารณ์และตำหนิถึงความไม่เหมาะสมอย่างมาก

ภาพที่หลุดออกมาทางสื่อก็คือ อิวานก้า เข้าไปนั่งเก้าอี้ทรัมป์ ช่วงที่ทรัมป์ต้องลุกออกจากที่ประชุมกลางคันเพื่อออกไปเจรจาทวิภาคีกับผู้นำของประเทศหนึ่งนอกห้อง แล้วบอกให้ลูกสาวไปนั่งประชุมจี 20 แทน โดยขนาบข้างด้วยประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ของจีน และ เทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ

ซึ่งภาพนี้แพร่กระจายไปทั่วโลกโซเชียลและสื่อกระแสหลัก

นักวิจารณ์ระบุว่าการให้ลูกสาวซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งและอีกทั้งไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมไปร่วมประชุมระดับสูงสุดในฐานะตัวแทนประเทศเช่นนั้นเป็นสิ่งไม่เหมาะสม

การกระทำนี้ยิ่งทำให้เส้นแบ่งระหว่างครอบครัวและกิจการของบ้านเมืองเลือนรางมากขึ้น

แม้ อังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ในฐานะเจ้าภาพจัดประชุมจะออกมากล่าวว่าการที่ลูกสาวทรัมป์มานั่งเก้าอี้แทนพ่อเป็นเรื่องปกติอย่างเต็มที่หรือเต็มเหนี่ยว แต่เชื่อว่าในใจลึกๆ แล้วก็คงไม่เป็นอย่างที่พูด เพียงแต่เธอไม่อยากมีปัญหากับทรัมป์ไปมากกว่านี้หลังจากความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศค่อนข้างจะตึงเครียดมากอยู่แล้ว

ลำพังแค่ให้สังคมด่าและวิพากษ์วิจารณ์อิวานก้าและพ่อของเธอก็เพียงพอแล้ว เรื่องอะไรเธอจะเปลืองตัวไปพูดเอง เพราะหากสังเกตให้ดีการที่นายกฯ เยอรมนีกล่าวเช่นนั้น โดยเน้นคำว่าปกติเต็มที่ อาจเป็นการประชดก็ได้เพราะก่อนหน้านี้ระหว่างการประชุมทวิภาคีระหว่างเธอกับทรัมป์ที่ทำเนียบขาว ในคราวที่เธอไปเยือนสหรัฐ เธอก็พบอิวานก้าเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย

ด้าน ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยุครัฐบาล บิล คลินตัน และอดีตที่ปรึกษาเศรษฐกิจรัฐบาล บารัค โอบามา ชี้ว่า เป็นเรื่องไม่ปกติสำหรับผู้นำประเทศที่จะออกจากการประชุมระดับผู้นำสูงสุดกลางคันเช่นนั้น และหากจำเป็นต้องทำ ผู้ที่จะมานั่งประชุมแทนก็ควรเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศหรือไม่ก็เป็นข้าราชการระดับสูง

“ไม่เคยมีผู้นำรัฐบาลคนใดให้ลูกคนโตมานั่งประชุมแทนมาก่อน มันไม่เคยมีบรรทัดฐานของเหตุผลที่ดีในการทำเช่นนั้น มันเป็นการดูถูกผู้นำคนอื่นๆ ในที่ประชุมนั้นและส่งส่งสัญญาณว่าข้าราชการระดับสูงของรัฐบาลไม่มีอำนาจใดๆ” เขากล่าว

ส่วนในโลกโซเชียลนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะอิวานก้าโดนสับเละเนื่องจากถูกหมั่นไส้มานานแล้วหลายเรื่อง คำวิจารณ์แสบๆ มันๆ จึงบังเกิด

อย่างเช่น “เธอไม่ได้เก่งไปกว่าพ่อเธอ อเมริกาควรอับอายที่ส่งพวกไร้ความสามารถไปประชุมระดับนานาชาติ / เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าทำไมต้องมีกฎหมายต่อต้านการเล่นพรรคเล่นพวกญาติวงศ์ / ระดับการเล่นพวกพ้องของอเมริกาแฉให้เห็นความเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล อิวานก้าที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งและไม่มีประสบการณ์ได้เป็นตัวแทนของอเมริกา / พวกอีลีตในนิวยอร์กที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งและไม่มีความพร้อมใดๆ กลายเป็นคนที่ดีที่สุดในการเป็นตัวแทนเจรจาผลประโยชน์ของอเมริกา”

ส่วน โดนัลด์ ทรัมป์ นั้นก็เช่นเคย คือนอกจากไม่สลด ไม่สำนึกใดๆ แล้วยังออกมาตอบโต้ปกป้องลูกสาว โดยอ้างว่าการให้ลูกนั่งประชุมแทนเป็นไปตามมาตรฐานอย่างยิ่ง แถมด้วยการพาลราวีชิ่งไปถึงเชลซี ลูกสาวของ ฮิลลารี คลินตัน อดีตคู่แข่งทางการเมือง ว่า “ถ้า เชลซี คลินตัน ถูกแม่ของเธอขอให้มานั่งเก้าอี้แทน ในขณะที่แม่ของเธอยกประเทศให้คนอื่น พวกสื่อเฟกนิวส์ (ประชดสื่อ) ก็คงจะรายงานว่าเชลซีนั่งแทนประธานาธิบดี”

อารมณ์ที่ทรัมป์ต้องการสื่อออกมาก็ประมาณว่า ถ้าเชลซีทำแบบเดียวกับอิวานก้า พวกสื่อก็คงรายงานแต่ในด้านดีๆ แต่เพราะอิวานก้าเป็นลูกสาวของตนกระมังจึงทำให้สื่อโจมตี

ทำให้ เชลซี คลินตัน ตอบอย่างนิ่มๆ แต่แสบและคลาสสิคแบบผู้ดีว่า “คุณพ่อและคุณแม่ของฉันจะไม่มีวันขอให้ฉันไปนั่งทำหน้าที่ (ประธานาธิบดี) แทน แล้วคุณล่ะกำลังยกประเทศให้คนอื่นหรือเปล่าล่ะ หวังว่าคงไม่นะ”

วิธีตอบโต้ของทรัมป์ที่พาดพิงไปถึงลูกสาวของฮิลลารีรวมทั้งฮิลลารีเองด้วยนั้น ถือว่าทำให้ทรัมป์มีแต่เสียหาย เพราะสะท้อนความเป็นคนกักขฬะ ใจแคบ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ คำพูดกล่าวหาของเขาที่มีต่อฮิลลารีนั้นในทำนองว่าขายชาติถือว่าแรงเข้าข่ายหมิ่นประมาท

ซึ่งถ้าเป็นนักการเมืองไทยป่านนี้ต้องมีการแจ้งความดำเนินคดีกันแล้ว

จนถึงขณะนี้เห็นได้ชัดว่าทรัมป์ยังคงคิดว่าการถูกวิจารณ์เป็นเพราะอิวานก้าเป็นลูกสาวเขา โดยที่ไม่ยอมมองว่าไม่ว่าประธานาธิบดีคนไหนที่ทำเช่นนี้ก็ย่อมจะถูกวิญญูชนตำหนิอยู่ดี ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าเป็นลูกสาวใคร แต่ปัญหาอยู่ตรงที่คนเป็นพ่อไร้ความคิด ไร้จริยธรรม ไร้มารยาท

ถ้าเป็นคนมีมารยาท ทรัมป์ก็คงจะหลีกเลี่ยงทำเรื่องพวกนี้มาแต่แรก จะได้ไม่ต้องถูกสังคมตำหนิเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนทั้งเรื่องลูกเขย ลูกสาว ลูกชาย อย่างที่ไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐคนไหนเทียบเท่าได้ในเรื่องแย่ๆ แบบนี้

ไม่แปลกที่ผลสำรวจใน 37 ประเทศ พบว่าภาพพจน์อเมริกาในสายตาชาวโลกตกต่ำที่สุดในยุคทรัมป์ โดยความนิยมหล่นวูบเหลือ 49% ตกต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ความนิยมอเมริกายุคโอบามาอยู่ที่ 64%

กล่าวได้ว่าหาดูได้ยากจริงๆ ที่จะได้เห็นรัฐบาลสหรัฐเป็นภาพของรัฐบาล “ครอบครัว-ตระกูล-เครือญาติ” อย่างชัดเจนเข้มข้นเหมือนยุคทรัมป์