ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 สิงหาคม - 2 กันยายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังลับแลมีอรุณรุ่ง |
ผู้เขียน | ธงทอง จันทรางศุ |
เผยแพร่ |
ย้อนหลังไปเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว กลางปีพุทธศักราช 2562 ถ้ามีใครบอกผมว่า จะมีโรคระบาดครั้งใหญ่เกิดขึ้นในโลก ผู้คนจะล้มตายเรือนแสนเรือนล้าน ผมจะต้องใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน การเดินทางด้วยเครื่องบินไปมาหาสู่กันไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือไปต่างประเทศกลายเป็นเพียงความฝัน ผมจะนึกว่าคนที่มาบอกผมอย่างที่ว่านั้นต้องเป็นบ้าแน่ๆ
มันจะเป็นไปได้อย่างไร
แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นจริง และยังมองไม่เห็นว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงไปได้อย่างไร
จากความคิดดั้งเดิมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัว มาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องไกลห่างต่อไปอีกแล้วครับ แต่ใกล้ขนาดอยู่รอบตัวเราเลยทีเดียว
ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับบ้านมานานสองเดือนเศษแล้ว จะออกจากบ้านก็เฉพาะเท่าที่จำเป็น
ชีวิตแต่ละวันวนเวียนอยู่กับการยกมือไหว้ iPad ตอนเช้าและตอนบ่าย เพราะยังต้องสอนหนังสือบ้าง ประชุมบ้างไปตามเรื่อง
ชีวิตยังไม่หยุดนิ่งก็ดิ้นรนกันไป
แต่ข้อสำคัญคือผมยังโชคดีกว่าคนอีกจำนวนมาก เพราะยังเป็นข้าราชการเกษียณอายุมีบำนาญกิน บ้านที่อาศัยพักพิงก็เป็นบ้านที่พ่อ-แม่สร้างไว้ให้ เสื้อผ้าก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองซื้อใหม่
เวลาสอนหนังสือออนไลน์ใส่เสื้อเชิ้ตตัวเดียว ครึ่งล่างนุ่งกางเกงขาสั้น ประหยัดไปได้มาก ฮา!
ท่ามกลางความยากลำบากเหล่านี้ ชีวิตรอบตัวผมก็ไม่แตกต่างกันกับชีวิตของเราท่านทุกคน กล่าวโดยเฉพาะเจาะจง สมาชิกในครอบครัวผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผมหลายคนต้องจากไปด้วยโรคโควิด-19
หลายคนติดเชื้อแต่รักษาหาย
ในขณะที่อีกฟากฝั่งหนึ่งของชีวิต การเริ่มต้นครอบครัวใหม่ก็เกิดขึ้น
สมาชิกใหม่ที่เป็นหลานของปู่-ย่า ตา-ยายของเพื่อนผมก็ลืมตาขึ้นมาดูโลก
ถ้าเป็นเวลาสถานการณ์ปกติ ผมคงมีความผูกพันทางสังคมที่ต้องไปงานการต่างๆ หรือแม้แต่ไปเยี่ยมเยียนหลานเกิดใหม่บ่อยครั้งไม่ใช่น้อย
แต่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ผมได้ไปร่วมงานทางสังคมแบบจำกัดยิ่ง
บางงานก็ช่วยเขาคิดอ่านวิธีจัดงานให้เหมาะสมกับภาวะบ้านเมืองด้วย
ผมจึงอยากจะบันทึกรายละเอียดงานสังคมเรื่องประเพณีบางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ไว้เป็นจดหมายเหตุในที่นี้
เพื่อที่ว่าในวันข้างหน้า คนรุ่นหลังจะได้พอรู้ว่าเราอยู่กันมาได้อย่างไรช่วงเวลาอย่างนี้
ขออนุญาตเล่าเรื่องงานศพสักงานหนึ่งและงานแต่งงานอีกงานหนึ่งนะครับ
งานแรกซึ่งเป็นงานศพนั้นเป็นงานของคุณแม่เพื่อนผมคนหนึ่ง
ผมซึ่งเป็นเพื่อนสนิทและรู้จักคุ้นเคยกับคุณแม่มานานกว่าสี่สิบปี รู้สึกว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องไปงานนี้แบบขาดไม่ได้
ผมเดินทางจากบ้านไปถึงวัดในเวลาราวบ่ายโมงครึ่ง ระหว่างนั้นเองมีรถพยาบาลของมูลนิธิแห่งหนึ่งนำหีบศพของคุณแม่มาถึงวัด แต่ก็ต้องจอดรออยู่บริเวณใกล้เคียงกันนั้นเหมือนกัน
เราทุกคนยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่จนกว่าจะได้เวลา
เมื่องานฌาปนกิจศพแรกที่เกิดขึ้นก่อนงานของเรา และเป็นกรณีเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เหมือนกันเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าหน้าที่ฌาปนสถานจึงส่งสัญญาณให้เราเข้าไปในพื้นที่ได้
ตรงประตูทางเข้า มีเจ้าหน้าที่แต่งกายรัดกุมด้วยชุดที่เห็นกันอยู่ในภาพข่าวบ่อยๆ คอยพ่นน้ำยากำจัดเชื้อโรคให้เราที่เดินเข้าไปทีละหนึ่งคน
เดินผ่านกระบวนการนี้แล้วเราก็ไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้รับรองซึ่งเว้นระยะห่างจากกันในราว 2 เมตร
เจ้าหน้าที่ของเมรุและครอบครัว นำรูปของคุณแม่ซึ่งใส่กรอบสวยงามไปตั้งแต่งไว้ที่ขาตั้งซึ่งประดับดอกไม้สวยงามบริเวณเชิงบันไดด้านหน้าทางขึ้นเมรุ
หน้ากรอบรูปมีโต๊ะเตรียมไว้สำหรับทอดผ้าบังสุกุลและวางดอกไม้จันทน์ ในเวลาใกล้เคียงกัน รถพยาบาลของมูลนิธิที่จอดรออยู่ด้านนอกก็เข้ามาเทียบด้านข้างทางขวาของเมรุ เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิแต่งกายรัดกุมเช่นเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ของเมรุเมื่อครู่นี้ เชิญหีบศพขึ้นไว้ในเตาเผา
ขณะเดียวกันกับที่เจ้าหน้าที่ของเมรุโยงสายสิญจน์จากเตานั้นเชื่อมมาจนถึงรูปของคุณแม่และมีภูษาโยงลงมาที่โต๊ะด้านหน้า
นอกจากลูก-หลานในครอบครัวซึ่งมีเพียงไม่กี่คนแล้ว มีเพียงผมและเพื่อนอีกสามคนที่อาจนับว่าเป็นแขก เจ้าภาพผู้เป็นเพื่อนของเราจึงขอให้เราทุกคนปฏิบัติหน้าที่ทอดผ้าไตรคนละหนึ่งไตร
ผมเป็นคนทอดไตรสุดท้ายและวางดอกไม้จันทน์เป็นเครื่องหมายว่าเริ่มการฌาปนกิจแล้ว
ทั้งไตรและดอกไม้จันทน์เหล่านี้อยู่บนพานซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะด้านข้างศาลาที่เรานั่ง ไม่มีการส่งมอบให้กับมือ เราแต่ละคนต่างไปหยิบผ้าไตรด้วยตัวเอง แล้วเดินไปทอดที่หน้ารูปของคุณแม่
พระภิกษุพิจารณาผ้าไตรที่ผมทอดบนพานแล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่หน้าศาลาอีกหลังหนึ่งไม่ไกลกัน ครบจำนวนสี่รูปที่จะสวดพระอภิธรรม
ทุกอย่างพร้อมแล้วผมวางดอกไม้จันทน์ช่อใหญ่ลงบนพานขนาดใหญ่หน้ารูปคุณแม่ พระภิกษุเริ่มสวดพระอภิธรรม เจ้าหน้าที่ของเมรุกดกริ่งขึ้นครั้งหนึ่งเป็นสัญญาณว่าเริ่มประชุมเพลิง
จบพิธีการซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีแล้ว ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน เพื่อนของเราซึ่งเป็นเจ้าภาพบอกว่า วันรุ่งขึ้นจะมีการเก็บอัฐิเป็นงานในครอบครัวเวลาเช้าแล้วเชิญอัฐิพร้อมอังคารกลับไปพักไว้ที่บ้าน
ส่วนว่าจะทำบุญฉลองอัฐิอย่างไร ค่อยคิดอ่านกันต่อไป เพราะยังต้องนึกถึงข้อจำกัดในเรื่องต่างๆ ประกอบด้วยอีกมาก
แบบแผนของการฌาปนกิจผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 ต้องปรับต้องเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ทั้งหมด แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็คงมีรายละเอียดที่ไม่แตกต่างกันมากนัก
งานพระราชทานเพลิงศพท่านผู้หญิงบุญเรือน ชุณหะวัณ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมก็ได้รับทราบว่าปฏิบัติตามแนวทางที่ว่ามานี้เช่นเดียวกัน
ผ่านจากเรื่องเศร้าโศกมาสู่เรื่องของความสดชื่นบ้างครับ
ลูกสาวของเพื่อนสนิทผมคนหนึ่งกำหนดจะแต่งงานกับแฟนหนุ่มของเขาล่วงหน้ามาหลายเดือนแล้ว แต่นับวันสถานการณ์โรคระบาดก็ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดแล้วการจองโรงแรมและการจัดงานเลี้ยงแต่งงานหรือพิธีการใหญ่โตทั้งหลายเป็นอันต้องยกเลิกไปหมด
พิธีแต่งงานเช้าวานนี้เอง ทำที่ห้องพักขนาดพอสมควรในคอนโดมิเนียมของครอบครัวเจ้าสาว ผู้เข้าร่วมพิธีมีแค่พ่อ-แม่ของทั้งสองฝ่าย คุณย่าเจ้าบ่าว และพี่น้องแท้ๆ ของเจ้าบ่าว-เจ้าสาว และผู้ใหญ่สามคนผู้มีหน้าที่จำเป็นต้องปฏิบัติ ในจำนวนนี้รวมผมซึ่งเป็นเจ้าพิธีหนึ่งคนด้วย พระภิกษุที่เมตตามาเจริญพระพุทธมนต์มีเพียงรูปเดียว
จะนิมนต์มาเก้ารูปหรือสิบรูปเต็มยศเต็มอย่างไม่ได้แล้วล่ะครับ
พิธีเริ่มต้นตามแบบคือบ่าว-สาวจุดเทียนบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีลแล้วอาราธนาพระปริตร ระหว่างพระเจริญพระพุทธมนต์ พอถึงบทพาหุง เจ้าบ่าว-เจ้าสาวไปตักบาตรซึ่งตั้งอยู่ที่ระเบียงห้อง แล้วกลับมานั่งฟังพระพุทธมนต์ต่อจนจบ
จากนั้นถวายภัตตาหารเช้า ถวายไทยธรรมพร้อมปิ่นโตภัตตาหารเพลสำหรับกลับไปพระอารามตามลำดับ
ก่อนพระกลับ บ่าว-สาวไปกราบรับพรและคำสั่งสอนจากพระ ท่านประพรมน้ำพระพุทธมนต์เป็นสิริมงคลแล้วกลับวัด
สายหน่อยเป็นพิธีสวมแหวนหมั้นด้วยความชื่นมื่น ช่างภาพไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากพี่น้องของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว เพราะไม่ได้มีการว่าจ้างมอบหมายช่างภาพเป็นพิเศษแต่อย่างใด ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่งครับ
งานในครัวทั้งหมดก็ทำกันเองในครอบครัว เพราะได้ให้แม่บ้านที่เคยช่วยงานหยุดงานอยู่บ้าน (ของเขา) มาสองเดือนแล้ว
ผมขอยืนยันว่าพี่ของเจ้าสาวล้างจานเก่งมาก ฮา!
สวมแหวนหมั้นแล้วเป็นพิธีรดน้ำประสาทพร คุณย่าของเจ้าบ่าวทำหน้าที่คล้องพวงมาลัย สวมมงคลแฝด และเจิมหน้าเสร็จสรรพคนเดียวแล้วรดน้ำเป็นประเดิม ตามด้วยพ่อ-แม่ของสองฝ่าย ผู้ใหญ่สามคน พี่ของบ่าว-สาว หมดแค่นี้ครับ 555555
เสร็จพิธีการแล้ว มีการตัดเค้ก ซึ่งลูกสาวของเพื่อนผมจากอีกบ้านหนึ่งทำให้เป็นของขวัญ เค้กวันนี้เป็นเค้กแคร์รอต ขนาดของเค้กพอเหมาะกับขนาดของงาน
และผมขอรับรองว่าอร่อยกว่าเค้กแต่งงานที่เคยรับประทานตามโรงแรมต่างๆ มาเป็นอันมาก
งานแต่งงานเล็กๆ สมกับเหตุการณ์บ้านเมืองผ่านไปด้วยความเรียบร้อยและความสุขใจของทุกคน
ผมเห็นได้ชัดว่าทุกคนมีความสุข ทุกอย่างเรียบง่าย ครบถ้วนตามประเพณี
ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
นี่อาจจะเป็นแบบแผนของงานแต่งงานในวันข้างหน้าของคู่บ่าว-สาวอีกหลายคู่ก็เป็นได้นะครับ
ทั้งเรื่องงานศพและเรื่องงานแต่งงานที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ทำให้ผมได้คิดว่า ธรรมเนียมประเพณีทั้งหลายย่อมต้องปรับต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
จะมาฝืนทำแบบเดิมเสมอไปเป็นการยากลำบากเสียแล้ว สำคัญอยู่ตรงที่ว่าเรายังสามารถรักษาแก่นของประเพณีเอาไว้ได้
เพียงนี้ผมก็พอใจแล้วครับ
ความสามารถในการปรับตัวเป็นคุณสมบัติสำคัญของคนที่จะอยู่รอดได้จริงๆ