‘ผู้ว่าฯ ปู’ อัศวินโควิด ปิดฉากแบบอกหัก เพราะโครงสร้างมหาดไทย/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

‘ผู้ว่าฯ ปู’ อัศวินโควิด

ปิดฉากแบบอกหัก

เพราะโครงสร้างมหาดไทย

 

ข่าวสำคัญข่าวหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คือการยื่นหนังสือลาออกจากราชการของนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร สร้างความตระหนกตกใจต่อผู้ติดตามข่าว

สำหรับสาเหตุการลาออก หากดูเผินๆ คล้ายจะเป็นปัญหาเชิงปัจเจก ถ้อยแถลงในการเตรียมลาออกของผู้ว่าฯ จะพูดเรื่องปัญหาสุขภาพเป็นหลัก การให้สัมภาษณ์ของบุคคลใกล้ชิดก็เทน้ำหนักส่วนใหญ่ไปที่สุขภาพ

แต่หากวิเคราะห์ระหว่างบรรทัดของถ้อยแถลง เราจะพบปัญหาในเชิงโครงสร้างอำนาจ จนอาจจะเป็นอีกต้นเหตุสำคัญของการลาออก

บทบาทของผู้ว่าราชการจังหวัดในปัจจุบัน จะหาคนโดดเด่นไม่ใช่ง่ายๆ ที่คุ้นหูคุ้นตากันในปัจจุบัน ล้วนเกิดจากสภาวะความจำเป็นกะทันหันบางอย่าง ทำให้มีชื่อเสียงติดตาเป็นภาพจำ

เช่นกรณีอดีตผู้ว่าฯ เลย ปัจจุบันกำลังจะเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย จากภาพจำมีคนไปถ่ายภาพขี่จักรยานมาทำงาน การใช้ชีวิตแบบสมถะต่อเนื่อง

หรือกรณีผู้ว่าฯ หมูป่า ที่มีชื่อเสียงจากกรณีการบริหารจัดการสถานการณ์เด็ก 13 คนติดอยู่ในถ้ำ

ส่วนจังหวัดอื่นๆ แทบนึกไม่ออก เพราะโครงสร้างการบริหารไม่ได้เอื้อให้ผู้ว่าฯ ทำอะไรได้มากมายนัก

ขณะที่นายวีระศักดิ์ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัด ที่รู้จักกันในช่วงวิกฤตโควิดนี่เอง จากการแสดงบทบาทความเป็นผู้นำของจังหวัด ลงไปคลุกคลีกับปัญหา ไปแสดงให้เห็นว่าระดับผู้นำเอาจริง เป็นสัญลักษณ์ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติต้องจริงจัง

จนในที่สุดตัวเองต้องติดเชื้อโรคระบาดร้ายแรงนั้นเองจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด นอนโคม่าในโรงพยาบาลหลายสิบวัน

 

ย้อนกลับไปปลายปี 2563 นายวีระศักดิ์เคยเป็นข่าวใหญ่จากการถูกคณะรัฐมนตรีรุมซักถามอย่างหนัก โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ถึงกับหลุดปากออกมาว่า “ทางผู้ว่าฯ ก็ผิดด้วย ที่ปล่อยให้แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามาจนเกิดการระบาดขึ้น”

ช่วงนั้นเป็นการระบาดระลอก 2 ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่จังหวัดสมุทรสาคร พื้นที่มีแรงงานต่างด้าวทำงานอยู่เยอะ หลังจากนั้นเพียงไม่นานก็มีข่าวนายวีระศักดิ์ติดโควิด ต้องเข้ารับการรักษาตัวและอาการทรุดลงอย่างต่อเนื่อง รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานเกือบ 3 เดือน นายวีระศักดิ์กลับมาพร้อมกับสโลแกนใหม่ แค่พักไม่ได้แพ้ โดยใช้แพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก ในการสื่อสารกับประชาชนมากขึ้น

ในขณะที่การระบาดระลอก 3 ยังเริ่มขึ้นไม่ชัดเจน ต้นเดือนพฤษภาคม นายวีระศักดิ์คือคนที่ประกาศว่าขณะนี้กำลังมีปัญหา มีคนไทยเปิดประตูบ้านให้ต่างด้าวลักลอบเข้าประเทศเป็นจำนวนมาก เป็นข่าวใหญ่วันต่อมา ทำให้รัฐบาลต้องสั่งเพิ่มความเข้มงวดพรมแดนด้านตะวันตก ต่อมาจับกุมแรงงานข้ามชาติได้เป็นจำนวนมากและต่อเนื่อง

แต่ก็ไม่ทันแล้ว การระบาดระลอก 3 เกิดขึ้นอย่างหนัก รอบนี้เผยแพร่จากกลางเมืองหลวงขยายไปยังปริมณฑลจังหวัดสำคัญและทั่วประเทศในที่สุด

ในขณะที่เจ้าหน้าที่ด่านหน้ากำลังต่อสู้กับการระบาดอย่างหนัก ภาคสังคมเองก็เรียกร้องให้รัฐบาลนำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและแจกจ่ายอย่างทั่วถึงเป็นธรรมโดยเร็ว สังคมมีฉันทามติร่วมกันแล้วว่าการป้องกันอย่างเดียวไม่เพียงพอ วัคซีนเท่านั้นคือทางรอด

นายวีระศักดิ์ในฐานะผู้ว่าฯ สมุทรสาครก็ถือเป็นผู้นำระดับจังหวัดคนแรกอีกที่กล้าออกมาบอกว่า จังหวัดสมุทรสาครซึ่งถือเป็นจังหวัดสีแดงมีการระบาดหนัก แต่กลับถูกตัดโควต้าวัคซีนอย่างหนัก ตัดเยอะจนไม่มีกำลังจะสู้แล้ว

 

ตลอดช่วงเวลาของการต่อสู้กับโรคระบาด นายวีระศักดิ์จะใช้เฟซบุ๊กในการสื่อสารกับประชาชน อธิบายเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบวันให้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด ประชาชนสามารถถามคำถามในการไลฟ์สดได้ และนายวีระศักดิ์ก็ตอบคำถามนั้น ได้รับการชื่นชมว่านี่คือแบบอย่างของผู้ว่าฯ ที่กล้าบอกปัญหาและความจริงกับประชาชน แม้บางครั้งจะถูกวิพากษ์วิจารณ์กลับ แต่นายวีระศักดิ์ก็รับฟัง และพยายามปรับกลยุทธ์แก้ปัญหา

ในสภาวะที่ประชาชนในจังหวัดวิตกกังวลติดเชื้อและจะไม่มีการช่วยเหลือ นายวีระศักดิ์เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดคนแรกที่ประกาศให้สัญญา เอาตำแหน่งเป็นเดิมพัน จะขอลาออก หากประชาชนในจังหวัดติดต่อมาหา Call Center หาเตียง แล้วไม่มีการติดต่อกลับภายใน 24 ชั่วโมงจากทีมงาน

“หลังส่งข้อความผ่านไลน์แล้ว หากไม่มีการติดต่อกลับจากทีมงานภายใน 24 ช.ม. ผมขออนุญาตพิจารณาตนเองออกจากการเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ถ้าทำเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่เหมาะกับการเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดไหนครับ”

นายวีระศักดิ์ยืนยัน

 

นอกจากนี้ ยังเคยประกาศสร้างความมั่นใจข้าราชการในจังหวัดจนเป็นที่ฮือฮา ขอให้ข้ามระเบียบราชการจากส่วนกลางไปเลยทันที หลังมีปัญหาการทำงานในศูนย์พักคอยผู้ป่วยโควิด โดยระบุว่าไม่ต้องรอคำสั่งจากกระทรวงสาธารณสุข เพราะหากรอก็อาจไม่ทันการณ์

“ถ้าระเบียบทำให้ประชาชนต้องตาย เพราะไม่มีที่กักตัว โปรดจงก้าวข้ามระเบียบนั้น แล้วบอกว่า ต้องทำ เพราะผมเป็นคนสั่งเอง ให้มันรู้ไปว่า ระเบียบ กับความตาย อะไรสำคัญกว่า” นายวีระศักดิ์ระบุ

ยังไม่นับการพยายามผลักดันการใช้เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ปรอทวัดไข้แบบดิจิตอล และสั่งซื้อยาฟ้าทะลายโจรในปริมาณมากๆ เป็นจังหวัดแรกๆ รวมถึงการบริจาคเงินในการเขียนหนังสือ 600,000 บาทของตนเองให้กับบุคลากรด่านหน้าสู้โควิด

ส่วนในประเด็นเรื่องวัคซีนนั้น ช่วงที่มีปัญหาหลักเกณฑ์การจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐ นายวีระศักดิ์เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดคนแรกที่ออกมาประกาศสนับสนุนการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับบุคลากรด่านหน้าทุกระดับ โดยย้ำว่าวิกฤตเช่นนี้ขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ด่านหน้าต้องมาก่อน

นายวีระศักดิ์ระบุว่า ไม่รู้ว่าวัคซีนไฟเซอร์เป็นวัคซีนเทพหรือเปล่า แต่จากการลงพื้นที่ให้กำลังใจบุคลากรด่านหน้าที่ฉีดวัคซีนนี้ สร้างความเชื่อมั่นให้บุคลากรด่านหน้าได้จริง วัคซีนที่ให้กำลังใจได้ ทิ้งท้ายประโยคว่า “ให้เขาไปเถอะครับ”

นี่คือจุดยืนการสนับสนุนกำลังใจของด่านหน้า

 

ดังตัวอย่างที่ยกมานี้ คือส่วนหนึ่งของวีรกรรมผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงครามในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาหลังจากหายป่วยจาก covid นี่คือคำตอบว่าทำไมคนจำนวนไม่น้อยในสังคมก็ชื่นชมนายวีระศักดิ์ จะยกเป็นแบบอย่างผู้นำคนหนึ่งในการต่อสู้กับโควิด สื่อมวลชนบางส่วนเรียกเขาว่า “ผู้นำฝ่าโควิค” “ผู้ว่าฯ คนจริง”

และแล้ววันนั้นก็มาถึง ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยจัดทำรายชื่อโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดเสร็จ ส่งให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนอนุมัติ ผู้ว่าฯ ที่เป็นข่าวดังมีชื่อโยกย้ายหมด ยกเว้นผู้ว่าฯ วีระศักดิ์

15 สิงหาคม นายวีระศักดิ์ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ สมุทรสาคร จู่ๆ ก็ตัดพ้อหลังมีคนถามว่าทำไมไม่มีชื่อย้ายกับเขาบ้าง ยอมรับว่าอยากย้าย เพราะออกพื้นที่ไม่ได้มาก ร่างกายไม่เอื้ออำนวยหลังหายจากโควิด แต่ผู้ใหญ่ในกระทรวงก็ไม่ได้หาจังหวัดให้

ต่อมา 16 สิงหาคม นายวีระศักดิ์ได้ทำหนังสือยื่นถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย ขอลาออกจากราชการให้มีผล 2 ตุลาคม

 

ต้องยอมรับความจริงว่า โครงสร้างการปกครองของไทยโดยเฉพาะในส่วนภูมิภาค ระดับจังหวัดต่างๆ นั้นเป็นมรดกการปกครองที่มีอายุมากกว่า 1 ศตวรรษแล้ว จุดเริ่มต้นสำคัญคือการปฏิรูปการปกครองตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่ว่าด้วยเรื่องการกระจายอำนาจ แต่งตั้งข้าราชการจากส่วนกลางลงไปปกครองบริหารท้องถิ่น ต่อมาจะมีการต่อสู้ให้มีการกระจายอำนาจผู้บริหารระดับท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งมากขึ้น แต่โครงสร้างการปกครองแบบเดิมก็ยังแข็งแกร่ง มีการประสานโครงสร้างที่หนาแน่น ทาบเกี่ยวไปกับกระแสการเติบโตและการพัฒนาของประชาธิปไตย

เราจึงเห็นความย้อนแย้งในการปกครองท้องถิ่นปัจจุบัน 1 จังหวัด มีทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เมืองใหญ่ๆ ก็มีนายกเทศบาลเมืองทับซ้อนกับนายอำเภอ ในระดับตำบลก็มีนายกเทศบาลตำบลทับซ้อนกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน

มากกว่านั้นในตัวกระทรวงมหาดไทยเอง ยังมีมรดกความคิดเรื่องของ “สิงห์” หรือระบบความสัมพันธ์เชิงเครือข่ายผู้ที่จบสถาบันการศึกษาเดียวกัน มีการยึดมั่นถือมั่นสืบทอดกันมายาวนาน ทั้งที่เป็นระบบคิดที่ขัดแย้งกับสังคมสมัยใหม่ ระบบการทำงาน การบริหารทรัพยากรบุคคลแบบสมัยใหม่อย่างมาก

จึงเป็นประเด็นสำคัญว่า โดยตัวบุคคล ผู้ว่าฯ จะเก่งแค่ไหน แต่อยู่ในโครงสร้างมหาดไทยแบบเดิมก็ไร้ผล ทำดีได้ไม่เต็มที่ อย่างมากก็เป็นข่าววูบวาบ อยู่ไม่ทันถึงปีย้ายอีกแล้ว ยังไม่ทันได้พัฒนาอะไร

“หรือว่าผมไม่มีสีของสิงห์ใดๆ นอกจากสีกากีของเครื่องแบบ” คำพูดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ของนายวีระศักดิ์ที่สะท้อนภาพปัญหาได้ดี