แนวรบด้าน ‘ดินแดง’ สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลง จาก ‘กระสุนยาง’ ถึง ‘กระสุนจริง’ ‘ม็อบอิสระ’ – ‘คฝ.’ ลุยเดือด/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

แนวรบด้าน ‘ดินแดง’

สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลง

จาก ‘กระสุนยาง’ ถึง ‘กระสุนจริง’

‘ม็อบอิสระ’ – ‘คฝ.’ ลุยเดือด

 

การเคลื่อนไหวของม็อบทุกกลุ่ม ไม่ว่าคาร์ม็อบ “ทัวร์สมบัติ” ของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ไม่ว่าคาร์ม็อบ “คาร์ปาร์ก” ของเครือข่ายขับไล่ประยุทธ์ หรือ อ.ต.ห. โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

รวมถึงกลุ่มราษฎร กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่มเยาวชนปลดแอก กลุ่มทะลุฟ้า

ทั้งหมดมีเป้าหมายขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นจากอำนาจ โดยยึดแนวทางสันติวิธี หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่

การนำม็อบออกมาแต่ละรอบ เลือกที่จะหลีกเลี่ยงเคลื่อนขบวนไปยังสถานที่อ่อนไหวเปราะบาง อันสุ่มเสี่ยงต่อการที่ฝ่ายรัฐจะหยิบยกขึ้นมามาเป็นข้ออ้างใช้ความรุนแรงจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม

อย่างเช่น กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) ถนนวิภาวดีรังสิต อันเป็นที่ตั้งบ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

แต่การปรากฏของมวลชนจำนวนหนึ่งที่แยกตัวออกจากกลุ่มหลัก สร้างพื้นที่ทางการเมืองของตนเองขึ้นใหม่บริเวณ “สามเหลี่ยมดินแดง”

พร้อมบวกกับตำรวจควบคุมฝูงชน หรือ คฝ. ที่ตั้งตู้คอนเทนเนอร์ วางกำลังกั้นขวางเส้นทางผ่านไปยังบ้านพัก พล.อ.ประยุทธ์ภายใน ร.1 รอ. อย่างเข้มแข็ง พร้อมสรรพด้วยโล่ กระบอง กระสุนยาง แก๊สน้ำตา และรถฉีดน้ำ

ก่อให้เกิดความสงสัยโดยทั่วไปว่ามวลชนฮึกห้าว ในพื้นที่ “สามเหลี่ยมดินแดง” เป็นใคร จากไหน อยู่ใต้บงการชักใยของผู้ใด

ไม่มีใครให้คำตอบแน่ชัด รู้แต่ว่าเพียงมีคำประกาศ “ไปสามเหลี่ยมดินแดง” ก็มีมวลชนทั้งเดินเท้า ทั้งขับขี่รถจักรยานยนต์มารวมตัวกันพรึบ

ภาพลักษณะนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่ #ม็อบ7สิงหา ต่อเนื่องเรื่อยมาถึง #ม็อบ16สิงหา ระหว่างนี้มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่หน่วย “คฝ.” มากกว่า 6 ครั้ง

 

สามเหลี่ยมดินแดงแปรสภาพเป็นฉากสู้รบดุเดือด

บนความดุเดือนมีบางคนตั้งข้อสังเกต การเปิดฉากปะทะระหว่างสองฝ่ายเหมือนนัดหมาย “ที่เก่า เวลาเดิม” แต่ละครั้งเหมือนหนังฉายซ้ำไปซ้ำมา

เริ่มจากเมื่อม็อบมาถึงก็เจอกับตู้คอนเทนเนอร์ 2 ชั้นตั้งขวางรอ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่พูดพล่ามทำเพลง เปิดฉากยิงถล่มด้วยแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง ม็อบแตกกระเจิงถอยร่นเป็นผึ้งแตกรัง เผาป้อม เผารถตำรวจ ตอบโต้ชนิดถึงพริกถึงขิง

ฉากปะทะเหมือนหนังฉายวน หลายคนคลางแคลงใจ กลุ่มเคลื่อนไหวที่มีลักษณะเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อกลุ่มหลักใดๆ ไม่ว่าคาร์ม็อบ คาร์ปาร์ก กลุ่มราษฎร หรือกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

หรือส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการ “แทรกแซง” ของฝ่ายอำนาจรัฐ

แฝงตัวเข้ามาสร้างสถานการณ์ เป้าหมายบ่อนเซาะทำลายความชอบธรรมกลุ่มขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ความรุนแรงในสมรภูมิสามเหลี่ยมดินแดง

ไม่ว่าจากตำรวจ คฝ. ระดมยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางเข้าใส่ผู้ชุมนุมตั้งแต่ไก่ไม่ทันโห่

ไม่ว่าความรุนแรงจากการตอบโต้ด้วยอารมณ์โกรธแค้นของกลุ่มมวลชนที่ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน ส่งผลให้สถานการณ์การชุมนุมเรียกร้องทางการเมือง พัฒนาไปสู่เหตุการณ์เผาป้อมตำรวจ รถตำรวจ

#ม็อบ15สิงหา แม้คำประกาศของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ บนรถซึ่งเข้าไปในสมรภูมิสามเหลี่ยมดินแดง เพื่อระงับยับยับยั้งความรุนแรงจะเต็มเปี่ยมไปด้วยเหตุผลและความห่วงใยต่อสถานการณ์

แม้จะเกลี้ยกล่อมมวลชนกลุ่มใหญ่แยกย้ายเดินทางกลับบ้านโดยสงบ หลังภารกิจ “คาร์ปาร์ก” สำเร็จลุล่วงด้วยดี แต่ก็ยังมีมวลชนอีกจำนวนหนึ่ง ยังเดินหน้าภารกิจเฉพาะกลุ่มของตนต่อไป

สะท้อนตอกย้ำทั้งหมดคือ “มวลชนอิสระ” ไม่ขึ้นต่อแกนนำใดๆ

บางคนประเมินว่ามวลชนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็น “เด็กอาชีวะ” ที่มีความฮึกห้าวเป็นเอกลักษณ์

มีความเป็นไม้เบื่อไม้เมากับตำรวจเป็นทุนเดิม

 

สถานการณ์คุกรุ่นรุนแรงยิ่งขึ้น

ในการชุมนุม 16 สิงหาคม กลุ่มทะลุฟ้าประกาศเคลื่อนพลไปยังทำเนียบรัฐบาล “บ้านหลังที่สอง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เมื่อเจอเข้ากับแก๊สน้ำตา ก็ประกาศยุติการชุมนุมทันที

เหตุการณ์เหมือนจะจบ แต่ก็ไม่จบ

กลุ่มมวลชนอิสระเคลื่อนต่อไปยังแยกสามเหลี่ยมดินแดงอีกครั้ง เกิดการปะทะดุเดือดรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ คฝ.เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเหตุไม่คาดฝัน ชายวัยรุ่นถูกยิงด้วยกระสุนจริง ได้รับบาดเจ็บทั้งสาหัสและไม่สาหัส 3 ราย

หลังเหตุสงบ ปรากฏคลิปว่อนโซเชียลออนไลน์ เป็นภาพเคลื่อนไหวของตำรวจ 1 นาย ถือปืนเล็งออกมาจาก สน.ดินแดง

สังคมตั้งข้อสงสัยทันที ภาพในคลิปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชายวัยรุ่นถูกยิงด้วย “กระสุนจริง” หรือไม่ โดยเฉพาะกรณีหนุ่มวัยรุ่นอายุ 15 ปี ถูกกระสุนเจาะเข้าที่ท้ายทอย ได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตาย ถูกส่งเข้ารักษาห้องไอซียู โรงพยาบาลราชวิถี

ตำรวจตัดสินใจยกระดับปฏิบัติการจากการ “ควบคุม” เป็น “ปราบปราม” หรือไม่ คือคำถามสำคัญ

พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. ยอมรับว่าภาพชายยืนอยู่บน สน.ดินแดง ใช้ปืนยิงควบคุมสถานการณ์ เป็นตำรวจยศร้อยตำรวจโท แต่เป็นการใช้ “กระสุนยาง” ยิงขู่ป้องกันสถานที่ราชการ

ยืนยันไม่มีการใช้ “กระสุนจริง” ถึงมี ก็ไม่ใช่ของตำรวจ

“ในพื้นที่มีการใช้กระสุนจริงจากบุคคลไม่ทราบฝ่าย แต่ไม่ใช่ของตำรวจ” ผบช.น.กล่าวยืนยัน

 

ฟากความเห็นจากฝั่งรัฐบาลต่อสถานการณ์สามเหลี่ยมดินแดง

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เน้นย้ำให้ยึดหลักสากลและกฎหมาย ไม่ต้องการให้บ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อยเหมือนการชุมนุมในอดีต ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการออกมาชุมนุม ไม่เช่นนั้นต้องถูกดำเนินคดี

รวมถึงผู้ทำผิดเงื่อนไขประกันตัวของศาลต้องโดนคุมขัง

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดถึงประเด็นนี้ในคลับเฮาส์ กลุ่มแคร์ฯ ตอนหนึ่งว่า คนรุ่นใหม่ไม่ต้องการความรุนแรง แค่ต้องการพูดคุย แต่แทนที่จะพูดคุยกลับแจกแก๊สน้ำตา กระสุนยาง แถมกระสุนจริง

วันนี้ตำรวจยืนตรงข้ามประชาชน ผู้นำไม่กล้าออกมานั่งคุยกับเด็ก ใช้ความรุนแรงแทน

“ถ้าผมออกไปปฏิบัติการแล้วมีหมาเดินผ่าน เขาให้ยิงหมาผมไม่ยิง เพราะหมาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่นี่คนไทยด้วยกัน เด็กตาดำๆ ไปยิงเขาทำไม”

รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงในการชุมนุมเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออก สรุปใจความได้ว่า

การชุมนุมในเดือนสิงหาคม พบว่ามีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเตรียม “พร้อมบวก” กับเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าการชุมนุมนั้นๆ จะตั้งใจห้เป็นแบบสันติหรือไม่ก็ตาม ต่อให้ “พี่เต้น” มาอธิบายถึงเป้าหมายว่าต้องการไล่ประยุทธ์ ไม่ใช่เอาชนะตำรวจ

แต่คนกลุ่มหนึ่งชัดเจนว่า “กูไม่ฟัง”

นักเรียนอาชีวะมักเป็นลูก-หลานชนชั้นกลางระดับล่างลงไป ยามเกิดวิกฤตด้านต่างๆ พวกเขามักเป็นคนกลุ่มแรกๆ ต้องเผชิญหน้ากับปัญหา ในวิกฤตโควิดเดาได้ว่าพ่อ-แม่ พี่-น้องของพวกเขาต้องได้รับผลกระทบรุนแรง

พวกเขาไม่ใช่ชนชั้นกลางที่มีทุนสะสมรองรับได้นาน วิกฤตลากยาวมาข้ามปี ทุนร่อยหรอ อาจไม่เหลือให้ประทังชีวิต

ไม่ต้องถามถึงการฉีดวัคซีนที่ฉ้อฉล คิดหรือคนระดับพวกเขาสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ง่ายๆ

ท่ามกลางความอยุติธรรมต่อหน้า จะให้พวกเขาชุมนุมแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน อีกอาทิตย์มาเจอกันใหม่ แค่นี้ไม่เพียงพอ เขาและครอบครัวต้องการข้าวกิน ต้องการฉีดวัคซีน ต้องการทำงาน จะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ ในเมื่อมันผ่านมานานมากแล้วสำหรับคนจน

ผู้อาวุโสด้านสันติวิธีเคยกล่าวไว้ “อาชญากรไม่ได้หล่นมาจากฟากฟ้า” ในฐานะคนเคยเป็นนักเรียนอาชีวะคนหนึ่งก็อยากกล่าวว่า “อาชีวะก็ไม่ได้หล่นมาจากฟากฟ้า” หากเป็นผลมาจากเนื้อนาดินของสังคมไทย

ที่สร้างพวกเขาให้มาเป็นแบบที่เป็นอยู่

 

ขณะที่การเคลื่อนไหวเรียกร้องของมวลชนกลุ่มหลักยังเดินหน้าต่อไป

กลุ่มพลเมืองโต้กลับ นำโดยนายบารมี ชัยรัตน์ นำมวลชนทำกิจกรรม “เดิน หยุด ขัง 1.12 ชั่วโมง” หน้าศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ด้วยการยืนเป็นเวลา 1 ชั่วโมง 12 นาที เรียกร้องให้ปล่อยตัวนักกิจกรรมที่โดนจับกุม 11 คน

1.นายพรหมศร วีระธรรมจารี 2.นายแซม สาแมท 3.นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน 4.นายณัฐชนน ไพโรจน์ 5.นายสิริชัย นาถึง

6.นายชาติชาย แกดำ 7.นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ 8.น.ส.ปนัดดา ศิริมาศกุล หรือต๋ง ทะลุฟ้า 9.นายอานนท์ นำภา 10.นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน และ 11.นายเวหา แสนชนชนะศึก หรือฟ้าฝน

ในจำนวนนี้ 4 คนติดเชื้อโควิด คือ นายพรหมศร นายสิริชัย และนายพริษฐ์ รวมถึงนายธนพัฒน์ กาเพ็ง หรือปูน ทะลุฟ้า ที่ได้รับการประกันตัวแล้ว

“ทุกคนติดโควิดทันทีที่เข้าไปในเรือนจำ ชัดเจนว่าเรือนจำเป็นสถานที่อันตราย ดังนั้น ผู้ยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด ควรได้รับสิทธิประกันตัว” นายบารมีระบุ

ความเคลื่อนไหวของม็อบขับไล่ประยุทธ์ ในสถานการณ์อันเปราะบาง ต่อจากนี้เป็นก้าวย่างต้องจับตา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรากฏขึ้นของ “กระสุนจริง” ได้ทำให้แนวรบ “สามเหลี่ยมดินแดง” ยกระดับสถานการณ์

เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง