
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 สิงหาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
จับตามาเลเซีย
เปลี่ยนม้ากลางศึก (อีก) ฝ่าวิกฤต
การเมืองมาเลเซียตกอยู่ในความยุ่งเหยิงอีกครั้ง
เมื่อมูห์ยิดดิน ยัสซิน นายกรัฐมนตรีในวัย 74 ปี ยื้ออำนาจต่อไปไม่ไหว ยอมตัดใจลาออกไปพร้อมกับรัฐมนตรีทั้งคณะเมื่อต้นสัปดาห์
ทำให้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศด้วยเวลาเพียง 17 เดือน
ตลอดระยะเวลาของการดำรงตำแหน่งนับจากมูห์ยิดดินก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีในเดือนมีนาคมปีก่อน หลังการล้มลงของรัฐบาลผสมปากาตันฮาราปัน (พีเอช) ที่มีมหาธีร์ โมฮัมหมัด เป็นหัวหอกนั่งแท่นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น แต่เดินเกมการเมืองพลาดเองจนเจ้าตัวหลุดจากเก้าอี้ไปนั้น กล่าวได้ว่ารัฐบาลมูห์ยิดดินต้องล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่ต้นจากการเจองานหินในการรับมือโรคระบาดครั้งเลวร้ายที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนอย่างโรคโควิด-19 ตั้งแต่แรก ที่ฉุดลากเศรษฐกิจของประเทศให้ทรุดหนักลงตามมา
และยังต้องรับมือกับศึกภายในพรรคร่วมรัฐบาลเปริกาตันเนชันแนล (พีเอ็น) ของตนเองที่กุมเสียงข้างน้อยในสภาอีก โดยที่มูห์ยิดดินแทบจะไม่มีอำนาจต่อรองในมือ
ความไม่พอใจของชาวมาเลเซียที่มีต่อความล้มเหลวในการบริหารจัดการสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผิดพลาดและการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่ไม่เห็นผลกระเตื้อง เป็นตัวเร่งให้เสถียรภาพของรัฐบาลมูห์ยิดดินสั่นคลอนหนัก
กระทั่งหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญของมูห์ยิดดินอย่างพรรคอัมโน ที่มีที่นั่งในสภามากที่สุดในฟากรัฐบาลจำนวน 38 ที่นั่ง ได้ประกาศถอนการสนับสนุนนายมูห์ยิดดินไป
เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงบทสิ้นสุดทางอำนาจอันใกล้ของมูห์ยิดดิน
ก่อนหน้านั้น มูห์ยิดดินถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากความพยายามหลีกเลี่ยงการเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจจากสมาชิกรัฐสภาในความพยายามซื้อเวลาอยู่ในอำนาจไว้ต่อไป
จนมาถึงการดิ้นเฮือกสุดท้ายของมูห์ยิดดินด้วยการออกแถลงทางโทรทัศน์ร้องขอให้ ส.ส.ฝ่ายค้านหันมาลงคะแนนเสียงให้กับตนเองในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคม
เพื่อให้รัฐบาลของเขาสามารถบริหารประเทศต่อไปเพื่อไม่ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ในขณะที่โรคโควิด-19 ยังกำลังระบาดอยู่
สุดท้ายมูห์ยิดดินยอมถอยด้วยการลาออก
หลังจากไม่ประสบผลสำเร็จในการโน้มน้าวให้ ส.ส.ฝ่ายค้านหันมาสนับสนุนตัวเองได้
การเมืองในมาเลเซียตอนนี้จึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และกำลังดำเนินไปตามกระบวนการครรลองเดียวกับที่มูห์ยิดดินก้าวขึ้นสู่อำนาจ
โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่าน อับดุลเลาะห์ ชาห์ กษัตริย์มาเลเซีย ทรงเป็นผู้กำหนดตามพระราชอำนาจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งพระองค์ทรงไม่ประสงค์จะให้จัดการเลือกตั้งในช่วงเวลาที่ประเทศยังคงเผชิญการระบาดของโรคโควิด-19
โดยทรงประกาศว่าจะทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ได้รับเสียงสนับสนุนข้างมากจาก ส.ส.ในสภา เพื่อทำการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ในการบริหารประเทศต่อไปในช่วงเวลานี้
ทรงเริ่มกระบวนการสรรหาแล้วด้วยการเรียกบรรดาผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ เข้าเฝ้าเพื่อหารือและมอบหมายให้ประธานรัฐสภาแจ้ง ส.ส.ในสภาทั้งหมด 222 คน ให้ยื่นหนังสือแจ้งกลับมายังสำนักพระราชวังในการระบุถึงตัวบุคคลที่ตนเองเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อที่พระองค์จะทรงพิจารณาและประกาศแต่งตั้งต่อไป
โดยระหว่างนี้ได้ให้นายมูห์ยิดดินทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีรักษาการไปก่อน
คําถามสำคัญอยู่ที่ว่า ใครที่มีบารมีและได้รับความเชื่อมั่นไว้วางใจมากพอที่จะได้เสียงสนับสนุนของ ส.ส.ในรัฐสภาไว้ได้มากพอ เพราะปัจจุบันไม่มีพรรคการเมืองใดในมาเลเซียที่ครองเสียงข้างมากในสภา และยังไม่มีแกนนำหรือ ส.ส.คนใดที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเด่นชัด
ขณะที่พรรคฝ่ายค้านและพรรคอัมโน ที่เป็นพรรคการเมืองใหญ่สุด ต่างสนับสนุนผู้มีสิทธิลุ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่แตกต่างกันไป ดังนั้น ใครที่จะก้าวเข้าสู่เส้นชัยได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ ก็จะต้องมาจากการจับมือเป็นพันธมิตรกันของพรรคการเมือง
แต่ล่าสุดตัวเก็งที่มีชื่ออยู่ในสื่อท้องถิ่นนำโด่งว่ามีสิทธิ์ลุ้นเป็นชื่อของอิสมาอิล ซาบรี ยาคอบ รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลมูห์ยิดดิน ที่เป็นสมาชิกอาวุโสในพรรคอัมโน วัย 61 ปี
ในฟากฝ่ายค้านก็มีชื่อของอันวาร์ อิบราฮิม จากพรรคเคดิลันรักยัต (พีเคอาร์) ผู้รอคอยเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมานานถึง 20 ปี แต่ไม่เคยถึงฝั่งฝันสักที
ส่วนการคัมแบ๊กในตำแหน่งนี้ของมหาธีร์ โมฮัมหมัด ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย
และยังมีม้ามืดอย่างชาฟี อัปดาล หัวหน้าพรรควาริซัน พรรคการเมืองจากรัฐซาบาห์ ติดมาในโผด้วย
สุดท้ายใครจะพิชิตเก้าอี้นี้ในการเปลี่ยนม้ากลางศึกของมาเลเซียที่มีภารกิจใหญ่หลายเรื่องให้พิสูจน์ฝีมือ รอลุ้นไม่เกินสัปดาห์นี้