ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 สิงหาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ลึกแต่ไม่ลับ |
เผยแพร่ |
ลึกแต่ไม่ลับ
จรัญ พงษ์จีน
‘ญัตติ’ รุนแรงหนักหน่วงเกินคำบรรยาย
ในที่สุด 6 พรรคฝ่ายค้าน ประกอบด้วย “เพื่อไทย-ก้าวไกล-เพื่อชาติ-ประชาชาติ-เสรีรวมไทย-พลังปวงชนไทย” ผนึกกำลังกันสำเร็จ ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายรัฐมนตรีเป็น “รายบุคคล” ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ นำคณะตบเท้ายื่นต่อ “นายชวน หลีกภัย” ประธานสภาผู้แทนราษฎร เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม
ลำดับถัดไป เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบรายชื่อ-ข้อบังคับ เอ็กซเรย์ความถูกต้องของญัตติภายใน 7 วัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด บกพร่อง จะบรรจุระเบียบเป็นวาระเรื่องด่วน และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลทราบเพื่อกำหนดช่วงเวลา คาดว่า “ศึกซักฟอก” คาบนี้ จะระเบิดเถิดเทิงขึ้นในช่วงปลายเดือนสิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายน
สำหรับรัฐมนตรีที่มีรายชื่อติดโผถูกจับขึ้นเขียงเชือด มีทั้งหมด 6 พระหน่อด้วยกัน ประกอบด้วย
1. “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
2. “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข พรรคภูมิใจไทย ในประเด็น “ความล้มเหลวการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 และการบริหารผิดพลาดเกี่ยวกับวัคซีน”
3. “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม พรรคภูมิใจไทย ประเด็นปัญหาที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ การประมูลรถไฟทางคู่สายอีสานและสายเหนือ ปัญหาจริยธรรมกรณีถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบที่สาม
4. “นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน” รมว.เกษตรและสหกรณ์ พรรคประชาธิปัตย์ ประเด็นแก้ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำไม่ได้
5. “นายสุชาติ ชมกลิ่น” รมว.แรงงาน พรรคพลังประชารัฐ ในประเด็นการเยียวยาช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 กับปัญหาปิดแคมป์คนงาน ทำให้แรงงานอพยพกลับภูมิภาค เป็นห้องเครื่องให้การแพร่กระจายโรคระบาดขยายตัว
6. “นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พรรคประชารัฐ ปมการออกมาดำเนินการเอาผิดศิลปิน ดารา นักแสดงที่ออกมาคอลเอาต์รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์”
ในจำนวน 6 เสนาบดีที่ติดติ่งศึกซักฟอกครั้งที่ 3 ข้อกล่าวหา “พล.อ.ประยุทธ์” ในฐานะผู้นำรัฐบาล แรงที่สุด และหนักกว่าทุกครั้ง โดยบรรยายสรรพคุณในการยื่นญัตติว่า
เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรมจริยธรรม และไร้ความสามารถที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผู้นำประเทศ ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดความล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทั้งในภาวะปกติและในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะในยามบ้านเมืองต้องประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบันกว่า 19 เดือน พล.อ.ประยุทธ์ได้รวบศูนย์อำนาจและมีอำนาจตามกฎหมายเบ็ดเสร็จทั้งในฐานะนายกฯ รมว.กลาโหม ผู้กำกับการปฏิบัติงานตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548-ผอ.ศบค.-ประธานศูนย์บริหารสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ และ ผอ.ศบค.กทม.
อีกทั้งยังได้รวบอำนาจตามกฎหมายต่างๆ ถึง 40 ฉบับที่เป็นอำนาจของรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลมาไว้กับตนเอง ต้องไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ เปิดเผยข้อมูลความจริง และสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน และทุกภาคส่วน
“มีพฤติการณ์ฉ้อฉล ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ข้อต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี ปล่อยปละละเลยต่อมาตรการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดในหลายเรื่อง และข้อสั่งการของตนเองในลักษณะกลืนน้ำลายตัวเอง”
รวมถึงการจัดซื้อวัคซีนก็หลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมายเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อเปิดประตูให้มีการทุจริต และมีการทุจริตในการกระจายวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชน รวมถึงการทุจริตในเรื่องอื่นๆ ไม่สร้งกระบวนการการมีส่วนร่วมทั้งที่เอกชนและโรงพยาบาลเอกชนประสงค์จะช่วยจัดหา และจัดซื้อวัคซีนทางเลือกให้ประชาชน แต่ พล.อ.ประยุทธ์กลับดำเนินการล่าช้า ขาดความจริงใจ พฤติการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์มีลักษณะ “ค้าความตาย” โดยเห็นวัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ โดยไม่ยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่เห็นความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน
จากความโอหังและเสพติดในอำนาจ จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในสภาพของคนเป็นโรค “โอหังคลั่งอำนาจ” ไม่อยู่ในภาวะที่จะเป็นผู้นำได้อีกต่อไป ดังนั้น หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป จะทำให้บ้านเมืองไร้ความสงบสุขร่มเย็น อันจะนำมาซึ่งความหายนะของประเทศชาติอย่างแท้จริง ตามที่มีการกล่าวกันว่า
“ผู้นำโง่ เราจะตายกันหมด เพราะคนโง่คือภัยอันตรายร้ายแรงเมื่อได้กลายเป็นผู้มีอำนาจ”
ถ้อยคำ วรรควลีที่ฝ่ายค้านนำมาประติมากรรมกล่าวหาในญัตติซักฟอก “บิ๊กตู่” ในครั้งนี้ นอกจากมีความยาว มีการรวบรวมครอบคลุมทุกตรรกะหลายองคาพยพแล้ว ยังหนักหน่วงเกินคำบรรยาย ไม่เคยมีญัตติซักฟอกครั้งไหนรุนแรงเท่าครั้งนี้
ขนาด “พล.อ.ประยุทธ์” ซึ่งไม่ค่อยรู้ร้อนรู้หนาว แต่ในการอภิปรายคาบนี้ ถึงกับปรารภกับบรรดารัฐมนตรี แบบใจดีสู้เสือว่า ขอให้ทุกคนที่โดนอภิปรายเตรียมพร้อมชี้แจงข้อเท็จจริง สู้ด้วยข้อเท็จจริง เราตั้งใจทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวัล ฝาก ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลต้องทำความเข้าใจข้อมูลการทำงานของรัฐบาล ขอให้หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลไปทำความเข้าใจกับ ส.ส.ด้วย
“ผมว่าแรงไปไหม หัวข้ออภิปราย มีใครเคยมีไหมแบบนี้”
หากให้วิเคราะห์ เชื่อขนมกินได้ล่วงหน้าว่า ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีรายบุคคคล ครั้งที่ 3 ของพรรคฝ่ายค้านร่วม จบข่าวลงด้วยรูปแบบเดิม คือ ผู้ถูกซักฟอก ชนะ
เพราะฝักถั่วสนับสนุนรัฐบาลมีเสียงข้างมากกว่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไหนยังมี “งูเห่า” ชูหัวทุกครั้งที่มีการซักฟอก
คาบนี้ “เพื่อไทย” กับ “ก้าวไกล” ดันมาเหยียบตาปลากันด้วยแล้ว ยิ่งวังเวงเข้าไปใหญ่