เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์/คำถามที่ไม่มีคำตอบ

วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

คำถามที่ไม่มีคำตอบ

อีกครั้งหนึ่งที่ผมมีโอกาสติดตาม หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ไปทำข่าวในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีเหตุสองสามกรณี หนึ่งคือการชุมนุมใหญ่ที่มัสยิสจังหวัดปัตตานี ทั้งยังลามไปถึงจังหวัดยะลา

เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเดินทางไปคลี่คลายปัญหาด้วยตัวเอง ขบวนการนักข่าวจึง “แห่” ลงไปเป็นจำนวนมาก เป้าหมายของนักข่าวช่างภาพ คือหาดใหญ่ แม้นายกรัฐมนตรีจะพักที่โรงแรมสมิหรา จังหวัดสงขลา เพราะการเดินทางระหว่างสามสี่จังหวัดที่นายกรัฐมนตรีต้องไปเจรจาหรือไปคลี่คลายปัญหาอยู่ไม่ไกลจากหาดใหญ่ ทั้งที่พักมีมากพอ และการเดินทางระหว่างจังหวัดไม่ลำบาก มีรถโดยสารแท็กซี่ให้เหมาเป็นวัน

นักข่าวและช่างภาพบางสำนักมีรถเดินทางไปเอง ผมและนักข่าวบางคนต้องพึ่งพารถแท็กซี่เช่าเหมา

ข่าวประจำวันไม่มีอะไรน่าหนักใจ เพราะนายกรัฐมนตรีน่าจะมีคำตอบอยู่แล้วว่าทางออกของปัญหาอยู่ที่ไหน โดยเฉพาะการเจรจาเพื่อต่อรองปัญหา หรือเพื่อคลี่คลายปัญหา รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งรับฟังเสียงจากเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งที่เป็นของพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง ไม่มีฝ่ายไหนต้องการให้กรณียืดเยื้อออกไป ยิ่งเมื่อ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ ปราโมช นายกรัฐมนตรี เดินทางลงไปด้วยตัวเองเช่นนี้

ระหว่างนั้น ผมมีเพื่อนคนหนึ่งทำงานที่สถานีโทรทัศน์หาดใหญ่ จึงได้รับความสะดวกบางประการ เพราะเพื่อนเป็นผู้สื่อข่าวของกรมประชาสัมพันธ์ เข้านอกออกในที่ประชุมของข้าราชการกับนายกรัฐมนตรีได้ไม่ยาก ทำให้การรายงานข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงจากที่ประชุมง่ายขึ้น

ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะผมที่สังกัดหนังสือพิมพ์ประชาชาติเท่านั้น เพื่อนนักข่าวจากสำนักอื่นก็มีโอกาสได้ข่าว “หมู่” เช่นเดียวกัน ไม่มีใคร “แหลม” กว่าใคร

ภาคใต้และประเทศไทยล่อแหลมจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ระหว่าง พ.ศ.2518-2519 สถานการณ์เกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ไม่น่าไว้วางใจ หน่วยงานสำคัญที่นายกรัฐมนตรีต้องไปเยี่ยมครั้งนี้ด้วย คือ “ค่ายคอหงส์” ที่หาดใหญ่

ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปทำข่าว คือกรมประชาสัมพันธ์ที่เพื่อนผมเป็นผู้สื่อข่าวผมจึงขอเป็นผู้ติดตาม

คืนนั้น หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์รับประทานอาหารค่ำร่วมกับนายทหารและรัฐมนตรีหลายนายที่เดินทางไปด้วยกัน ส่วนเพื่อนกับผมร่วมรับประทานอาหารอยู่อีกโต๊ะหนึ่งไม่ไกลจากโต๊ะคณะนายกรัฐมนตรีเท่าใดนัก

หลังรับประทานอาหารเสร็จ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์จึงขึ้นพูดจาปราศรัยกับบรรดานายทหารและครอบครัวในห้องประชุมแห่งนั้น

ภาระหน้าที่ของเพื่อนคืออัดเสียงนายกรัฐมนตรีเพื่อนำคำปราศรัยบางส่วนไปออกเป็นข่าวประกอบเสียงในภาคข่าววันรุ่งขึ้น

ส่วนภาระหน้าที่ของผม คือพยายามจำเรื่องที่นายกรัฐมนตรีพูด เพื่อส่งไปเป็นข่าวของหนังสือพิมพ์ประชาชาติฉบับรุ่งขึ้น เป็น “ข่าวเดี่ยว” ด้วยไม่มีนักข่าวคนไหนมีโอกาสได้เข้าไปในห้องประชุมแห่งนั้นเหมือนผม ทั้งผมตกลงกับเพื่อนว่า ข่าวนี้ขอเป็นข่าวเดี่ยว อย่าเพิ่งนำไปออกอากาศค่ำนี้ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงและเวลาไม่ทันข่าวภาคค่ำอยู่แล้ว กับอย่าแพร่งพรายให้เพื่อนนักข่าวคนอื่นรู้

นอกจากผมจะจำข่าวที่นายกรัฐมนตรีพูด ยังพยายามถอดเสียงของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ที่เพื่อนอัดเสียงไว้บางตอน ซึ่งเป็นประเด็นข่าวและมีความสำคัญ

นายกรัฐมนตรีบอกกับนายทหารและครอบครัวคืนนั้นว่า ขณะนี้ เรามีศัตรูและผู้ไม่หวังดีต่อประเทศไทยทั่วทุกหัวระแหง ไม่ว่าจะเป็นในกรมกอง หรือแม้แต่ท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ผู้ไม่หวังดีอาจนั่งอยู่ข้างท่านก็ได้

ผมฟังแล้วเกิดความรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อย หากมีใครรู้ว่าผมไม่ใช่ผู้สื่อข่าวจากกรมประชาสัมพันธ์ที่เพื่อนอ้างไว้ อาจจะถูกให้ออกจากที่นั้นก็ได้

แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ยังกล่าวอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงของประเทศ และภัยจากผู้ก่อการร้าย ซึ่งขณะนั้น ภาคใต้มีทั้งโจรจีนคอมมิวนิสต์ (จคม.) และขบวนการผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ขจก.)

เมื่อผมส่งข่าวขึ้นพาดหัวข่าววันรุ่งขึ้น ซึ่งหนังสือพิมพ์จะไปถึงหาดใหญ่ช่วงบ่าย พวกเราไปดักทำข่าวนายกรัฐมนตรีที่โรงแรมสมิหรา สงขลา เพื่อขอทราบความคืบหน้าของเหตุการณ์ที่เริ่มจะลามออกไปว่าจะยุติได้อย่างไร

คำถามหนึ่งที่ผมถามหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ คือคำถามที่หัวหน้าข่าว ไพบูลย์ วงษ์เทศ สั่งมาเมื่อคืนให้ถามว่า ที่นายกรัฐมนตรีว่าถึงศัตรูและผู้ประสงค์ร้ายมีอยู่เต็มไปหมด แม้ในค่ายทหาร หมายความว่าอย่างไร

คำตอบจากนายกรัฐมนตรีต่อหน้าผู้สื่อข่าวหลายคนที่ได้ยินคำถามจากผมกลับทำหน้าสงสัยทั้งคำถามของผม และคำตอบจากนายกรัฐมนตรีว่าหมายความอย่างไร

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี หยุดฟังคำถามผมยังไม่จบ แล้วตอบว่า “ผมพูดที่ไหน มีใครได้ยินบ้าง ถ้าผมพูด เอาเทปมายืนยันได้ไหม”

เท่านั้นผมก็ “หงายเก๋ง” พยายามจะบอกว่า ก็…ก็เมื่อคืนในค่ายคอหงส์ไงครับ แต่พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะเขาไม่อนุญาตให้นักข่าวช่างภาพหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเข้าไปฟัง ยิ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ไปเอาเทปมายืนยัน ผมยิ่งต้องเงียบแล้วเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น

ปล่อยให้เพื่อนผู้สื่อข่าวคนอื่นถามต่อ

ทําไมหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ปฏิเสธเรื่องที่พูด ผมพยายามหาคำตอบ โดยเฉพาะเรื่องที่ท่านนายกรัฐมนตรีให้ยืนยันด้วยเทปบันทึกเสียง ใครจะไปกล้ายืนยัน หากผมบอกไปว่ามีเทปของกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อนผมก็ “ซวย” อาจถึงออกจากงานก็ได้ กับเป็นเรื่องที่พูดเฉพาะในที่รโหฐานระหว่างนายกรัฐมนตรีกับทหาร ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องระวังว่าฟังอะไรมาแล้ว อย่าไปยืนยันว่าใครพูด อาจจะบอกว่าเป็น “แหล่งข่าว” ดังที่มีการอ้างในข่าวเป็นประจำ คือที่มาของ “แหล่งข่าว”

ขากลับรถไฟจากหาดใหญ่เข้ากรุงเทพฯ พวกเราเจอเรื่องตำรวจรถไฟตรวจค้นของหนีภาษีที่ชุมพร พบหญิงจีนประเภทอาซิ้มถูกตรวจค้นเจอกล่องใส่ลูกกอล์ฟจำนวนมากพอสมควร ตำรวจพยายามจะยึด อ้างว่าเป็นของหนีภาษี แต่อาซิ้มคนนั้นไม่ยอม ได้เรื่อง พวกเราช่างภาพนักข่าวรีบทำข่าวถ่ายรูปกันยกใหญ่

อาซิ้มได้ทีรีบ “ฟ้องนักข่าว” ว่าซื้อลูกกอล์ฟจะไปฝากเพื่อนฝากญาติ ซึ่งพวกเรารู้ดีว่า ไม่น่าจะใช่ แต่เพราะความเป็นนักข่าวช่างภาพอยู่แล้ว อดไม่ได้ที่จะทำข่าวถ่ายภาพ เป็นเหตุให้ตำรวจต้องยอมถอย เลิกตรวจค้น ไม่มีการจับกุมอย่างไรทั้งสิ้น

อาซิ้มขอบอกขอบใจพี่นักข่าวเป็นการใหญ่ ไม่ได้ข่าวใหญ่ได้ข่าว “ฮา” ยังดี