ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 สิงหาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
เมื่อหมอชนบทบุกกรุง
ด้วย ‘ปฏิบัติการจรยุทธ์’
ผมไปพูดคุยกับแกนนำของ “ชมรมแพทย์ชนบท” ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งที่มีนบุรีเมื่อสัปดาห์ก่อน
พบคุณหมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ, ผอ.โรงพยาบาลจะนะที่สงขลา, และประธาน “ชมรมแพทย์ชนบท” ที่นำทีมคุณหมอจากชนบทมมาเกือบ 40 ทีมเพื่อมาช่วยตรวจคัดกรองเชื้อโควิดให้ชุมชนในกรุงเทพฯ
คุณหมอเรียกกิจกรรมครั้งนี้ว่า “ปฏิบัติการจรยุทธ์”
เป็นการทำงานของหมอชนบทที่ทนเห็นสภาพการแพร่เชื้อที่ระบาดอย่างรวดเร็วและกว้างไกลในเมืองหลวงไม่ได้
จำเป็นต้องมาช่วย “ตรวจเชิงรุก” เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่าที่เห็นอยู่
สถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่ปกติ
เพราะหากเราเปรียบเทียบการสู้รบกับโควิด-19 เป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของแวดวงสาธารณสุข รัฐบาลและ ศบค. ก็ควรจะเป็น “ทัพหลวง”
นายกรัฐมนตรีก็เป็น “แม่ทัพ” อันหมายถึงผู้บัญชาการรบสูงสุดในภาวะที่จะต้องวางยุทธศาสตร์และลงพื้นที่ตรวจตราให้แน่ใจว่าทุกแนวรบมีความพร้อมเพรียงและเดินหน้าตามแผนยุทธการเดียวกัน
แต่อยู่ดีๆ ก็เกิดมีนักรบเสื้อขาวจากต่างจังหวัดที่อาจจะวิเคราะห์แล้วเห็นว่า “ทัพหลัก” อาจจะเอาศัตรูไม่อยู่
ต้องยกพวกมาในฐานะอาสาสมัครมาช่วยสกัดศัตรูโดยที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสู้รบของทัพหลวงเลย
นี่ย่อมเป็นความบิดเบี้ยวของขบวนการทำสงครามที่ใหญ่หลวงระดับโลก
เพราะไวรัสโคโรนาตัวนี้มีความคล่องแคล่ว แปลงร่างและกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วและน่ากลัว
แต่การตั้งรับของฝ่ายรัฐดูเหมือนจะยังขาดทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่มีศักยภาพที่จะเอาชนะศึกได้
เมื่อคณะหมอชนบทจากหลายภาคของประเทศรวมตัวกันยกพวกเข้าเมืองหลวงเพื่อช่วยในการตรวจหาเชื้อให้ชุมชนต่างๆ ผมถือว่านี่เป็นการ “กู้กรุง” ของนักรบแนวหลังเมื่อเห็นแนวหน้าประสบกับวิกฤตในมิติต่างๆ
เพราะลำพังหมอชนบทเองก็มีภารกิจหนักหน่วงในบ้านตัวเองอยู่แล้ว
ช่วงหลังนี้จำนวนคนติดเชื้อในต่างจังหวัดก็ก้าวกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์รอบล่าสุด
ทำให้คนต่างจังหวัดที่มาทำงานในกรุงเทพฯ พากันกลับบ้านระหว่างรอกลับไปทำงานอีกครั้ง
ทำให้มีการแพร่กระจายของโรคโควิดกว้างขวางและรวดเร็วทันตาเห็น
เท่ากับเป็นการเพิ่มงานให้กับแพทย์ชนบททันที
แต่เมื่อสมาชิกในชมรมแพทย์ชนบทปรึกษาหารือระหว่างที่ประเมินสถานการณ์ภาพรวมของประเทศว่าเลวร้ายลงอย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งเมื่อกรุงเทพฯ และปริมณฑลกลายเป็น “เขตแดงเข้ม” ก็ยิ่งทำให้หมอชนบทกังวลว่าเมืองหลวงจะถูกตีแตก อาจถึงขั้น “เสียกรุง” ให้กับศัตรูที่มองไม่เห็น
หาก “เสียกรุง” แล้วชนบทก็ไม่อาจจะต้านการรุกคืบของโควิดได้แน่นอน
พอลงพื้นที่จริงๆ หมอชนบทก็พบว่าทัพหน้าของการศึกครั้งนี้มีจุดอ่อนหลายด้าน
ทีมหมอชนบทอาสามาช่วยตรวจเชิงรุกในเมืองหลวงครั้งนี้ในฐานะ “นักรบจรยุทธ์” ต้องเจอกับปัญหาการประสานงานของหน่วยงานต่างๆ ที่ยังไม่ได้ “บูรณาการ” กันอย่างแท้จริง
ผมคุยกับทั้งหมอ, อาสาสมัคร, ผู้นำชุมชน, ผู้ประสานงานและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอนามัยของ กทม.
เชื่อไหมว่าในหลายกรณีกลายเป็นประเด็น “มือซ้ายยังไม่รู้ว่ามือขวาทำอะไร”
เมื่อตรวจหาคนติดเชื้อในชุมชนคนแออัดใน กทม.ด้วย ATK ก็พบว่ามีคนติดเชื้อประมาณ 15-20% ซึ่งต้องถือว่าเป็นจำนวนที่สูงพอสมควร
คำถามจากผู้นำชุมชนก็คือหากเจอว่าใครเป็นบวกแล้วจะทำอย่างไรกับพวกเขาและเธอ
ผมหันไปถามเจ้าหน้าที่อนามัย กทม.ที่ดูแลเขตนั้นและมีเครือข่าย “คลินิกอบอุ่น” ที่เข้ามาจับคู่เพื่อจะรับคนป่วยเข้าสู่การกักตัวและรักษาที่บ้านที่เรียกว่า Home Isolation
ได้รับคำตอบว่าทาง กทม.กับทีมหมอชนบทและผู้นำชุมชนยังไม่ได้มีระบบการส่งต่อข้อมูลของผู้ติดเชื้อทันที
ดังนั้น จึงไม่รู้ว่าจะส่งคนที่ตรวจพบเชื้อไปไหน
ข้อมูลของการตรวจ ณ ชุมชนนั้นขึ้นที่จอคอมพิวเตอร์ของอาสาสมัครที่หน้างาน
แต่ข้อมูลชุดนั้นไม่ได้ไปปรากฏที่ระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักงานอนามัยของ กทม.
และไม่มีใครบอกได้ว่ากระทรวงสาธารณสุขมีระบบของการเก็บข้อมูลปัจจุบันทันด่วนอย่างนั้นเพื่อประสานกับระบบ Home Isolation หรือไม่
ปัญหาที่เกิดขึ้นทันทีก็คือ หากให้คนที่มาตรวจแล้วเจอผลเป็นบวกกลับบ้านไปก็มีโอกาสจะแพร่เชื้อให้คนอื่นในบ้านได้
เมื่อไม่มีระบบของการติดต่อกับหมอหรือบุคลากรทางการแพทย์เพื่อจับคู่กับเครือข่ายคลินิกอบอุ่น (ที่บางส่วนได้รับงบสนับสนุนจาก สปสช. หรือสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) คนที่ติดเชื้อเหล่านี้ก็ไม่สามารถจะรับการรักษาผ่านระบบออนไลน์หรือที่เรียกว่า Telemedicine เพื่อแยกคนป่วยจากคนที่ยังไม่ติดเชื้อ
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมในระยะหลังนี้จำนวนคนติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นนั้นนอกจากจะมาจากคลัสเตอร์ของโรงงานต่างๆ ทั่วประเทศแล้ว
ก็ยังเป็นการแพร่เชื้อในบ้านเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วย
การแจกจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์และฟ้าทะลายโจรก็เป็นประเด็นว่าจะแจกให้กับใครเมื่อไหร่และมีจำนวนเพียงพอหรือไม่
ในวงสนทนาวันนั้น คุณหมอชนบทและผู้นำชุมชนเชื่อว่าถ้าเจอคนติดเชื้อจากการตรวจเชิงรุกลักษณะนี้ควรจะต้องได้ยาฟาวิพิราเวียร์โดยด่วน
เพราะยิ่งให้ยาเร็วก็ยิ่งจะป้องกันไม่ให้คนป่วยที่เป็นสีเขียวกลายเป็นสีเหลืองหรือสีแดงได้
แต่เจ้าหน้าที่อนามัยของ กทม.บอกว่าส่วนใหญ่จะให้ฟ้าทะลายโจรก่อน ยังไม่ใช่ยาฟาวิพิราเวียร์แต่อย่างไร
เราต่างก็มองตากันด้วยความสงสัยงุนงงว่ากระทรวงสาธารณสุขและ กทม.มีการวางกฎเกณฑ์และหลักปฏิบัติเรื่องนี้ให้สอดคล้องต้องกันอย่างไร
ไฉนจึงทำให้คนหน้างานเกิดความงุนงงสงสัยว่าตกลงจะทำอย่างไรกันแน่
การรบจะชนะหรือแพ้ไม่ได้อยู่ที่ผู้บัญชาการรบสั่งลงมาอย่างเดียว
แต่ต้องมีการตรวจสอบด้วยว่านักรบในสมรภูมินั้นมีอาวุธที่เหมาะสมและใช้มันให้เหมาะกับสถานการณ์อย่างไร
ที่สำคัญคือนักรบทุกแนวรบจะต้องใช้ยุทธวิธีเดียวกัน
ไม่ใช่ต่างคนต่างมีกฎกติกาของตนโดยไม่ใส่ใจว่าศัตรูมีศักยภาพการทำลายล้างต่อเราอย่างไร
คุณหมอสุภัทรบอกผมว่า
“ผู้ใหญ่แสดงความชื่นชมกับการอาสามาทำงานในกรุงเทพฯ ของพวกเราไม่พอ ท่านต้องตรวจสอบด้วยว่าในสนามรบนั้นทุกคนทำตามที่สั่งการลงมาหรือไม่ หรือมีอุปสรรคที่หน้างานอะไรที่ต้องแก้ไขและปรับปรุงอย่างเร่งด่วน…”
ดังนั้น คำว่า “ขอบคุณหมอชนบทที่มาช่วยเมืองหลวง” จากระดับนโยบายจึงไม่มีความหมายอะไรหากนักรบเสื้อขาวจากต่างจังหวัดเข้ากรุงแล้วเจอกับสภาพของความไร้ทิศทางและขาดการประสานงานของฝ่ายต่างๆ อย่างชัดเจน
ภาษิตจีนบอกว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”
ในภาวะวิกฤตโควิดนั้น ต้องเปลี่ยนเป็น “ไร้ทิศทาง ไร้การประสาน รบร้อยครั้งแพ้ร้อยครั้ง”