อนุสรณ์ ติปยานนท์ : In Books We Trust (25) หนังสือสัญจรของพี่หลวง (2)

ขอบคุณภาพจากทวิตเตอร์ MTmovie

 

 

In Books We Trust (25)

หนังสือสัญจรของพี่หลวง (2)

 

“ชีวิตนั้นช่างเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่คาดฝัน”

                                                  จอห์น เมเจอร์

 

ในนวนิยายเรื่อง “สิทธารถะ” นั้น ตัวเอกคือสิทธารถะได้พบกับพระพุทธองค์ หากแต่เขาปฏิเสธการเป็นพุทธสาวกและออกแสวงหาหนทางสู่สัจจะตามที่ตนเองปรารถนา ไม่มีใครล่วงรู้ว่าจนกว่าบั้นปลายชีวิตจะมาถึง เส้นทางชีวิตของแต่ละบุคคลจะเป็นเช่นไร สิทธารถะได้พบกับวาสุเทพชายแจวเรือข้ามฝากในเวลาต่อมาและหันมาใช้ชีวิตเช่นนั้น

ชายหนุ่มในร่มกาสาวพัสตร์อย่างพี่หลวงก็เช่นกัน แม้ว่าเขาจะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านพุทธศาสนา แม้ว่าเขาจะมีหนังสือรวมบทกลอนถึงสองเล่ม แต่แล้วเขาก็หาได้ดำรงตนในฐานะนักกลอนหรือแม้แต่ในฐานะพระภิกษุในเวลาต่อมาไม่

“การชอบบทกลอนของคุณเฉลิมศักดิ์ ศิลาพร ส่งผลต่อชีวิตพี่หลวงบ้างไหม?”

“มากเลยครับ มากทีเดียว ตามประสาคนชอบตัวหนังสือ หลงใหลการอ่าน พี่หลวงริเริ่มเขียนกลอนเพราะอิทธิพลจากครูเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ประยอม ซองทอง อุชเชนี ท่านเหล่านี้ทำให้พี่หลวงอยากมีผลงานเป็นของตนเอง ตอนนั้นนิตยสารไหนรับลงบทกลอน รับกวี พี่หลวงส่งไปหมด สู่ฝัน วัยหวาน เธอกับฉัน ไปจนถึงนิตยสารเล็กๆ น้อยๆ และพอได้ลง ได้ตีพิมพ์ พี่หลวงยิ่งมีกำลังใจ ส่งไปจนพอรวมเล่มได้ ครานี้ก็คิดการใหญ่ รวบรวมต้นฉบับกลอนของตนเองส่งไปตามสำนักพิมพ์ต่างๆ โชคดีในที่สุดมีสำนักพิมพ์หนึ่งสนใจ เขาจัดพิมพ์งานบทกลอนของพี่หลวงถึงสองเล่ม”

“ชื่ออะไรบ้างครับ หนังสือรวมบทกลอนที่ว่า?”

“เล่มหนึ่งชื่อว่า ‘ฝันถึงความรัก’ อีกเล่มหนึ่งชื่อ ‘แค่คนผ่านมาแล้วผ่านไป'”

“ใช้ชื่อจริงไหมในหนังสือ?”

“ไม่ครับ ตอนนั้นเรายังเป็นพระอยู่ก็ดูแล้วคงไม่เหมาะเท่าไหร่ ก็ใช้นามปากกา เล่ม ‘ฝันถึงความรัก’ นั้นใช้นามปากกาว่า ‘กระแสธาร’ ส่วนเล่ม ‘แค่คนผ่านมาแล้วผ่านไป’ ใช้นามปากกาว่า ‘ลานลั่นทม’ ก็เอาจากใกล้ๆ ตัว กระแสธารนี่ก็ออกไปทางธรรมะเหมือนสิ่งที่ไหลไปไม่คงที่”

“มีหนังสือสองเล่มแบบนี้ พี่หลวงคิดไหมว่าจะเป็นนักเขียนหรือนักกลอนล่ะ คิดจะลาสิกขาเลยไหม?”

“คิดที่จะลาสิกขา แต่ไม่ใช่ว่าจะมาเป็นนักกลอนหรือนักเขียน คือส่วนหนึ่งเรามองว่าเราเป็นคนที่มีอารมณ์โรแมนติก คิดถึงเรื่องทางโลกมาก ก็คงอยู่ในสมณเพศไม่นาน อีกอย่างเราเป็นคนเรียบง่ายไม่ปรารถนาอะไรมาก ไม่หวังยศ หวังศักดิ์ ไม่ชอบงานจัดการ ถ้าบวชนานไปก็คงทำอะไรให้พระศาสนาได้ไม่มาก แต่ตอนแรกก็อยากไปเรียนต่อที่อินเดีย ไปเรียนให้สูงขึ้น แต่เพื่อนพระภิกษุรูปหนึ่งท่านเตือนสติเราบอกว่า ถ้าคิดจะสึก ไปเรียนแล้วกลับมาสึกมันจะช้าไปถ้าเราอยากจะสร้างตัว สร้างอนาคต ถ้าจะสึกก็ควรสึกตั้งแต่ตอนจบจากชั้นปริญญาตรี มันจะเริ่มได้เร็วกว่า”

“พี่หลวงก็เห็นว่าจริง ก็เลยสึกหลังจากเรียนจบขั้นบัณฑิต”

 

 

“พอลาสิกขาแล้วพี่หลวงมาขายหนังสือเลยไหมถ้าไม่คิดจะเขียน น่าจะอยากเปิดร้านหนังสือ อย่างน้อยก็ยังได้อ่าน”

“ไม่ ยังไกลมากจากเรื่องหนังสือ เราไม่รู้จักใครเลย ถึงจะมีงานรวมเล่มสองเล่มแต่ก็เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากเท่าใดนัก โชคดีว่าก่อนสึกมีผู้บริหารใหญ่ของห้างสรรพสินค้ามาบวชที่วัดมหาธาตุฯ พี่หลวงได้มีโอกาสไปดูแลท่าน ท่านก็ชอบอัธยาศัยเรา ชอบความคิดเรา บอกว่าถ้าสึกก็ไปทำงานกับท่าน เราก็เลยไปทำงานกับท่านไม่ได้หางาน แต่ตอนนั้นก็ยังพำนักอยู่ที่วัดระยะหนึ่งเพราะมันสะดวกใกล้ที่ทำงาน จนตอนหลังเปลี่ยนงานจากงานนั่งโต๊ะที่เดิมไปทำงานด้านการขาย พี่หลวงก็ออกไปเช่าหอพักอยู่แถวซอยจรัญสนิทวงศ์ 37 ก็อยู่ที่นั่นหลายปีทีเดียว”

“จากชีวิตพระ ชีวิตสมณเพศ คนชอบเขียนหนังสือ พี่หลวงกระโดดมาขายของ มาเป็นเซลส์เลยหรือ”

“อันนี้เรื่องจริง มีคนพูดว่าศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยสงฆ์นี่ทำได้ทุกอย่าง พี่หลวงก็เห็นมากับตา บางคนไปเป็นไกด์ ไปเป็นผู้รับเหมา ไปเป็นนักจัดรายการวิทยุ สารพัดแบบ คืออาจเป็นเพราะเราไม่มีทางเลือกมากนัก หนักเอาเบาสู้ เราเลยทำได้ทุกอย่าง อาสัยว่าค่อยๆ ศึกษาไป พี่หลวงขายตั้งแต่เบรกเกอร์ตัดไฟ ไปจนถึงอุปกรณ์การแพทย์ แต่อย่างอุปกรณ์การแพทย์นี่เราจะใช้วิธีประมูลงาน ยื่นซองประกวดราคา พี่หลวงทำงานดีมาก บริษัทชอบ แต่แล้วมันก็เกิดเรื่องพลิกผัน จะว่าเป็นจุดเปลี่ยนก็ได้”

“อย่างไรครับ?”

 

“คือกลับจากการประมูลงานครั้งหนึ่ง รถของบริษัทที่พี่หลวงนั่งมาประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำที่พิษณุโลก พี่หลวงไม่เสียชีวิต แต่แขนซ้ายนี่ต้องตัดทิ้ง จากคนปกติเรากลายเป็นคนพิการในพริบตา”

“หลังจากตัดแขน พี่หลวงปรับตัวนานไหม?”

“สามเดือนนะที่พักฟื้น แต่ก็สู้ ชีวิตคนเรามันเปลี่ยนตลอด มันจะว่าไม่แน่นอนก็ไม่แน่นอน เราเพียงแค่ต้องรับมือความไม่แน่นอนเหล่านี้ให้ได้ จริงๆ ทางโรงพยาบาลเขาจะทำแขนเทียมให้พี่หลวง แต่พี่หลวงไม่เอา เราคิดว่าเราปรับตัวเอาดีกว่า จากพระมาเป็นฆราวาสเราก็ปรับตัวมาแล้ว จากคนปกติมาเป็นคนพิการเราก็ต้องปรับตัวได้ แต่มันยากตรงความเคยชิน ใหม่ๆ แค่จะนุ่งผ้าเช็ดตัวอาบน้ำด้วยมือเดียวยังยาก ลำบากมากๆ แต่เราก็ฝึกจนเราคิดว่าเราปกติละทางจิตใจ ครบสามเดือนกลับไปทำงาน ปรากฏว่าที่ทำงานเขาขอลดเงินเดือนลงครึ่งหนึ่งและย้ายเราจากฝ่ายขายไปคุมสต๊อกที่ชั้นบนสุดของสำนักงาน พี่หลวงขึ้นไปที่ห้องทำงาน มืด พัดลมก็ไม่มี ยืนมองแล้วก็คิดว่าเราจะทนแบบนี้หรือ อันนี้ยากกว่าเรื่องอื่น ร่างกายเราปรับได้ แต่จิตใจมันยากกว่า จะยอมรับว่าจะอยู่ที่เดิมให้เขาจ้างเราไว้ในฐานะคนพิการหรือ ไม่ดีกว่า พี่หลวงก็เขียนจดหมายลาออกวางไว้ที่โต๊ะและก็ออกมาจากที่นั่นเลย”

“คิดไว้หรือยังว่าจะไปทำอะไรต่อดี?”

“ไม่ได้คิด แต่เล็งไว้ว่าน่าจะค้าขาย เราตัวคนเดียว ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ น่าจะอยู่ได้ ก็เอาเงินไปซื้อรถเข็นมาคันหนึ่ง ไปรับโปสเตอร์พวกดารานักร้องมาขาย จากแถวจรัญฯ เราก็ดูแล้วว่าบริเวณสถานีรถไฟบางขุนนนท์มีคนขึ้นคนลง โปสเตอร์ก็ราคาไม่แพง คนซื้อแล้วก็ซื้ออีกได้ ขายไม่หมด ของก็ไม่เน่าไม่เสีย ก็ขายอยู่ที่นั่นได้สักพัก แต่แล้วมีครั้งหนึ่งพี่หลวงไม่ได้ไปขาย รถเข็นเราก็จะฝากร้านแถวนั้นไว้ เทศกิจมายกไป เราตามไปไถ่คืน บอกเขาว่าผมก็มีเหลือเท่านี้ พี่จะเอาอะไรอีก ก็ชี้แจงเขาตรงๆ เขาก็บอกค่าปรับมันเท่านั้นเท่านี้นะ ซึ่งมันมากสำหรับเรา ก็ตัดสินใจว่าไม่เอาดีกว่า ทิ้งไว้ที่นั่นและพี่หลวงก็ออกหางานล่ะทีนี้ ค้าขายมันน่าจะไม่ใช่ทางสะดวกสำหรับเรา บอกตนเองว่าลองหางานบริษัททำอีกสักครั้งเถอะ”

“ได้ไหมครับ?”

“ได้ โชคดีมากๆ มีคนรู้จักเขาแนะนำให้เราไปสมัครกับบริษัทที่รับจองตั๋วเครื่องบินแห่งหนึ่ง บริษัทอยู่หลังสวน แถววิทยุ พี่หลวงไปทำงานเป็นคนรับออเดอร์ รับการจอง เราเป็นคนพูดเพราะ ชัดถ้อยชัดคำ ความจำแม่น จำลูกค้าได้หมด คนนี้ชอบสายการบินนี้ ชอบนั่งแบบนี้ เราจำได้หมด ทำไปสักพัก เงินเดือนก็ขึ้นตลอด ครานี้เราย้ายที่พักเลย มาอยู่ซอยโปโล ใกล้ที่ทำงาน พอใกล้ที่ทำงาน เราก็คิดจะกลับมาค้าขายละ มองไปที่ตลาดนัดตอนเช้าแถวตลาดหลักทรัพย์ฯ เดิมตรงอาคารสินธร เช้าเราก็ตื่นเช้าหน่อย เอาของกระจุกกระจิกไปขายแล้วก็มาทำงาน ขายได้สักพักก็เกิดเรื่องอีก แต่ตอนนั้นทำบริษัททัวร์มาหลายปีล่ะนะ คือมีคนมาเลเซียมาเจอเรา เขาถามเราว่าสนใจขายเทปเพลงที่ก๊อบปี้ไหม เขามีของแต่ขาดคนขาย เราดูราคาส่งกับราคาขายแล้วกำไรดี เราก็เลยเอา วางขายนี่เอามากี่ม้วนๆ ขายหมดไม่เหลือ จำได้เลยของคริสติน่านี่ขายดีมากๆ”

“แล้วเกิดเรื่องแบบไหนครับ?”

“โดนจับครับ เจ้าของลิขสิทธิ์เขามาจับเรา อันนี้เราผิดจริงก็ต้องเสียค่าปรับให้เขา แต่มากพอดู พอโดนตรงนี้ เราก็เสียกำลังใจแล้ว รู้สึกว่าการดิ้นรนใช้ชีวิตในเมืองหลวงมันยากเหลือเกิน ประกอบกับตอนนั้นภาพยนตร์เรื่องบุญชูกำลังเข้าฉาย เราไปดูแล้วมีฉากที่บุญชูกลับบ้านที่ต่างจังหวัด กลับไปทำนา เราก็คิดว่าเราก็คนต่างจังหวัดเหมือนกัน ไปเริ่มต้นที่บ้านเกิดเราดีกว่า ความรู้ ประสบการณ์อะไรเราก็เก็บเกี่ยวมามากพอแล้ว บุญชูทำได้ เราก็ต้องทำได้ ก็เก็บของกลับบ้านเลย”

“กลับบ้านเกิดที่ชุมพร”

 

“พี่หลวงกลับไปทำอะไรที่บ้านเกิดครับ?”

“ไปเช่าตึกอยู่แถวปากน้ำชุมพร เปิดเป็นร้านขายพวกหนังสือพิมพ์ นิตยสาร”

“อันนี้ร้านหนังสือแรกในชีวิตเลย”

“ใช่ครับ ถือว่าเป็นร้านแรกในชีวิต แต่ต่างจากร้านหนังสือพี่หลวงเปิดในปัจจุบันมาก ร้านแรกนั้นเป็นร้านหนังสือแบบที่ทุกเช้าเราต้องแยกหนังสือพิมพ์และเอาออกไปส่งคนอ่านหนังสือพิมพ์ตามบ้าน เป็นร้านแรกและเป็นร้านหนังสือที่เราต้องทำงานทุกวัน”

“ไม่มีวันหยุดเลย”