ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | ระวังข้างรัฐบาลจะไม่มีใครเลย

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่ความรุนแรงที่รัฐกระทำต่อประชาชนมากขึ้นทุกวัน และถ้านับจากวันที่คนรุ่นใหม่ชุมนุมบนท้องถนนกลางปี 2563 ความรุนแรงที่รัฐทำต่อประชาชนก็ยกระดับจนถึงจุดที่การใช้กระสุนยางกลายเป็นแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐโดยปริยาย

ด้วยวิธีปฏิบัติที่รัฐทำกับผู้ชุมนุมในปัจจุบัน สัญญาณของการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนกำลังยกระดับมากขึ้นเรื่อยๆ จนการใช้น้ำสีฉีดเด็กมัธยมและนักศึกษากลางแยกปทุมวันที่เป็นเรื่องใหญ่ในปี 2563 ถือเป็นอภินันทนาการจากรัฐไปเลยเมื่อเทียบกับกระสุนยางและแก๊สน้ำตาในปัจจุบัน

คู่ขนานไปกับกระสุนยางและแก๊สน้ำตาซึ่งกลายเป็นวิถีปฏิบัติที่รัฐทำกับประชาชน “ระดับ” ของการใช้อุปกรณ์ดังกล่าวก็รุนแรงขั้นแสดงให้เห็นความเกลียดชังของเจ้าหน้าที่ต่อประชาชนด้วย การยิงที่รัฐเหนียมอายสมัยม็อบราชดำเนินเดือนมีนาคม 2564 ยกระดับเป็นการยิงโดยเปิดเผยแบบที่เห็นกัน

ในการสลายการชุมนุมวันที่ 10 สิงหาคม ตำรวจซึ่งเพิ่งถูกศาลสั่งให้เลี่ยงใช้ความรุนแรงกับสื่อและประชาชนแบบวันที่ 7 สิงหาคม ทำทุกอย่างที่แสดงให้เห็นความ “กระหาย” ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการยิงสื่อโดยจงใจ, พูดตรงๆ ว่าขอสนุกให้เต็มที่, ระดมยิงจากทางด่วน, รุมกระทืบประชาชน ฯลฯ

ป่วยการที่จะเถียงเรื่องตำรวจสลายการชุมนุมตามหลักสากลให้เสียเวลา เพราะวิธีการยิงตั้งแต่ยังไม่เริ่มชุมนุมหรือการใช้กำลังแบบอื่นๆ ไม่เป็นแม้แต่พฤติกรรมที่คนทำกับคนด้วยซ้ำ แต่คำถามคือ ในที่สุดการที่อาวุธอยู่ในมือผู้มีอำนาจที่เห็นคนไม่ใช่คนนั้นจะส่งผลอย่างไร

พูดก็พูดเถอะ ด้วยระดับความบ้าเลือดตอนนี้ ตำรวจย่อมดึงดันที่จะปราบปรามประชาชนแบบนี้ต่อไป และในที่สุดผลลัพธ์ที่ได้คงไม่มีทางเป็นอื่น นอกจากการใช้กระสุนจริงยิงคนที่ประท้วงรัฐบาลในวันใดก็วันหนึ่ง สุดแท้แต่ใครจะเป็นศพแรกเท่านั้นเอง

หากไม่หันหลังให้ความจริงเกินไป สังคมไทยกำลังกลายเป็นสังคมที่รัฐและเจ้าหน้าที่รัฐแสดงให้เห็นอย่างเปิดเผยว่าเกลียดชังคนร่วมชาติจนเหลือแค่ยังไม่ลั่นกระสุนฆ่า ส่วนคนที่รัฐกระทำก็แสดงออกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นว่าพร้อมจะตอบโต้กับรัฐทุกทางเท่าที่คนมือเปล่าจะมีปัญญา

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐไทยประกาศตัวความชิงชังประชาชน แต่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลังทหารรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา นี่คือครั้งแรกที่ความชิงชังของรัฐกล้าจนปะทุเป็นการยกระดับมาตรการปราบประชาชนอย่างต่อเนื่องโดยมีตำรวจเป็นกลไกสำคัญ

ตรงข้ามกับบรรยากาศช่วงปี 2549-2553 ที่คนไทยเชื่อว่าตำรวจเป็น “ฝ่ายประชาชน” ความรู้สึกว่าตำรวจอยู่ตรงข้ามประชาชนในวันนี้รุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การสลายการชุมนุมวันที่ 10 สิงหาคม ถึงขั้นมีผู้หญิงยืนด่าตำรวจที่ในมือมีอาวุธ ส่วนตำรวจก็กล้าทำถึงขั้นปรี่จะเข้าไปทำร้ายประชาชน

นักวิชาการชอบพูดว่าคุณประยุทธ์เป็นส่วนหนึ่งของ “ระบอบประยุทธ์” ซึ่งอาจหมายถึง” ระบอบประวิตร” หรืออะไรก็ตามที่เป็นรัฐซึ่งใหญ่กว่าตัวคุณประยุทธ์ขึ้นไป

และหนึ่งในความสำเร็จของคุณประยุทธ์ก็คือการทำให้รัฐมีเอกภาพจนตำรวจคือทหารที่มีคำว่า “ตำรวจ” อยู่หน้าชื่อเท่านั้นเอง

เพนกวินเป็นแกนนำชุมนุมที่แน่วแน่เรื่องสันติวิธีมากที่สุดที่สังคมไทยเคยมี และไม่ว่าเพนกวินจะพูดเรื่องต่างๆ ด้วยลีลาดุเดือดเพียงไร ปฏิบัติการชุมนุมของเพนกวินและเพื่อนมีหัวใจที่การเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐหันมาอยู่ฝ่ายประชาชนเสมอ แม้ในวันสุดท้ายก่อนที่เพนกวินจะติดคุกอีกรอบก็ตาม

เพนกวินจะบรรลุในการเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐเลือกข้างประชาชนหรือไม่คงต้องลุ้นกัน แต่ในวันนี้ตำรวจเลือกจะหันปากกระบอกปืนใส่ประชาชนแน่ๆ เพราะเชื่อว่าคุณประยุทธ์จะเป็นนายกฯ ต่อไป เช่นเดียวกับ “ระบอบประยุทธ์” ที่จะมีความมั่นคงสถาพรต่อไปด้วย ไม่ว่าจะเพราะอะไร

ขณะที่ประชาชนอยู่ในโลกซึ่งแรงต้านคุณประยุทธ์มากจนตลกยังเอาไปล้อว่าคุณประยุทธ์ “ไปไหนก็มีแต่คนถามว่าเมื่อไรจะออก” รัฐและกลไกรัฐเชื่อว่าแรงต้านไม่มีผลให้อำนาจคุณประยุทธ์สั่นคลอนจนไม่มีเหตุให้หยุดหันกระบอกปืนจากกการยิงประชาชนแม้แต่นิดเดียว

นักการเมืองในพรรครัฐบาลเองก็รู้ว่าคุณประยุทธ์ถูกต่อต้านโดยประชาชน แต่คนเหล่านี้ล้วนคิดเหมือนทหารและตำรวจว่าไม่มีทางที่ประชาชนจะทำให้อำนาจออกจากมือคุณประยุทธ์ได้ เสียงวิจารณ์จึงไม่มีน้ำหนักให้พรรคไหนถอนตัวจากรัฐบาล มีแต่ลอยตัวให้คุณประยุทธ์โดนด่าคนเดียว

คุณประยุทธ์หรือที่นักวิชาการเรียกว่า “ระบอบประยุทธ์” เป็นสัญลักษณ์ของระบอบการเมืองที่ประเทศไทยไม่มีมานาน ถึงแม้ทหารจะรัฐประหารจนตั้งตัวเองเป็นนายกฯ เป็นประจำ นายกฯ ทหารมักอิงความชอบธรรมด้านใดเสมอ เช่น ซื่อสัตย์, เรียนเก่ง มีคุณธรรม ฯลฯ ขณะที่ยุคนี้ไม่มีเลย

ครั้งสุดท้ายที่ประเทศไทยมีนายกฯ ทหารที่อาจคล้ายคุณประยุทธ์คือจอมพลถนอม กิตติขจร ยุค 14 ตุลาคม 2516 และถึงแม้ผมจะเกิดไม่ทันสมัยนั้น งานเขียนของคนจำนวนมากก็มักบอกว่าจอมพลถนอมซื่อสัตย์สุจริต ถึงแม้จะฟังแล้วน่าสงสัยว่าทำไมคนซื่อสัตย์สุจริตถึงถูกยึดทรัพย์หลัง 14 ตุลาคมก็ตาม

คุณประยุทธ์ไม่มีความโดดเด่นที่นายกฯ ทหารในอดีตมี ไม่ต้องพูดถึงผู้นำในระบอบประชาธิปไตยที่มีทั้งคนเก่ง, คนดี, คนฉลาด และคนที่ประชาชนรักกว่าคุณประยุทธ์เยอะไปหมด อำนาจของคุณประยุทธ์จึงมีฐานความชอบธรรมจากประชาชนน้อยมาก ต่อให้ไม่สนใจที่มาของอำนาจเลยก็ตาม

นักรัฐศาสตร์พูดไว้เป็นสิบปีแล้วว่าอำนาจอยู่ได้ด้วยความยอมรับและการใช้กำลัง และในเมื่อความเป็นจริงของประเทศคือคุณประยุทธ์มีคนยอมรับนิดเดียวทั้งก่อนและหลังโควิดระบาด การรักษาอำนาจของคุณประยุทธ์ย่อมได้มาด้วยการใช้กำลังมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

ยิ่งประชาชนแสดงออกถึงการต่อต้านรัฐบาล คุณประยุทธ์หรือ “ระบอบประยุทธ์” ยิ่งต้องใช้กำลังในการรักษาอำนาจตามสัดส่วนของแรงต้านในสังคมทั้งหมด

การจรรโลงคุณประยุทธ์ให้อยู่ในอำนาจจึงหมายถึงการใช้กำลังปราบปรามหรือกดให้ประชาชนไม่โงหัวขึ้นเลย

คนหลายฝ่ายเรียกร้องให้คุณประยุทธ์ถอยเพื่อถอดสลักความขัดแย้งทางการเมือง แต่ความรุนแรงจากตำรวจคือสัญญาณว่าการถอยจะไม่มี แม้แต่การเปลี่ยนตัวเป็นคนอื่นในพวกเดียวก็จะไม่ปรากฏ ความแข็งตัวของระบอบจึงทำให้สังคมไทยเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าที่รุนแรงกว่าปัจจุบัน

ยิ่งคุณประยุทธ์ดึงดันจะอยู่ในอำนาจมากเท่าใด คนหน้าใหม่ๆ ที่ประกาศตัวเป็นฝ่ายต่อต้านคุณประยุทธ์ก็มากขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องพูดว่าหลายคนเป็นคนที่สนับสนุนคุณประยุทธ์ในอดีต การปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงของคุณประยุทธ์จึงสร้างแรงเหวี่ยงให้คนต่อต้านคุณประยุทธ์เพิ่มขึ้นโดยปริยาย

ยุทธศาสตร์คุณประยุทธ์ในเวลานี้คือนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้ตำรวจจับแกนนำขังคุกด้วยคดีต่างๆ แต่ปัญหาคือสังคมเวลานี้หันหลังให้คุณประยุทธ์จนต่อให้ไม่มีแกนนำก็ไม่มีผลแล้ว ปีกว่าๆ ของการยัดคดีทำให้การต่อต้านคุณประยุทธ์ในรูปแบบต่างๆ อย่างไม่มีแววว่าเรื่องนี้จะยุติลงเลย

ไม่เคยมียุคไหนที่สังคมไทยเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าจนพังพินาศอย่างปัจจุบัน อำนาจรัฐที่ไม่ถอยเผชิญมวลชนที่ไม่หยุด ทางเลือกของประเทศถูกบีบให้เหลือแค่ฝ่ายหนึ่งแพ้ อีกฝ่ายชนะ แต่ไม่ว่าชัยชนะนั้นมาด้วยกำลังทหารหรือพลังมวลชน อนาคตของประเทศก็ไม่มีวี่แววว่ามีอะไรสดใสเลย

ความรุนแรงที่ตำรวจทำต่อผู้ชุมนุมคือหลักฐานว่าคุณประยุทธ์ได้เลือกแล้วที่จะรักษาอำนาจด้วยการปราบปราม แต่ปัญหาคือคุณประยุทธ์ใช้ยุทธศาสตร์ปราบปรามในเวลาที่กองหนุนคุณประยุทธ์เหลือน้อยมาก การปรามจึงยิ่งทำให้คุณประยุทธ์ถึงขั้นเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งทางการเมือง

ประเทศไทยวันนี้เผชิญปัญหาหลายด้านซึ่งจำเป็นต้องมีผู้นำที่หลากหลายกว่าปัจจุบัน แต่ด้วยการจรรโลงอำนาจของคุณประยุทธ์ ประเทศไทยเหลือทางเลือกที่เรียวแคบคือเอาประยุทธ์ด้วยการปราบม็อบ ทั้งที่การปราบในเวลานี้คือการปราบคนส่วนใหญ่ที่ไม่เหลือเยื่อใยให้คุณประยุทธ์ต่อไป

ถ้าไม่มีใครหรือกลไกไหนในระบบการเมืองหยุดเรื่องนี้ ประเทศไทยทั้งประเทศจะเจอหายนะที่แม้แต่คำว่าหายนะอาจน้อยเกินไป