ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 สิงหาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ท่าอากาศยานต่างความคิด |
เผยแพร่ |
In Books We Trust (24)
หนังสือสัญจรของพี่หลวง (1)
เขาอยู่ตรงนั้น ร้านหนังสือของเขาอยู่ตรงนั้น ผู้ชายคนหนึ่ง วัยกลางคน กับกองหนังสือจำนวนมหาศาลที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบแม้ว่ามันจะเป็นเพียงร้านหนังสือริมทาง
ผมจะพบเขาทุกเย็น แม้ว่าใครจะบอกว่าร้านหนังสือของเขาเปิดตั้งแต่ยามบ่ายก็ตามที แม้ว่าแขนข้างหนึ่งของเขาจะเสียไป แต่นั่นหาได้กระทบกระเทือนถึงรอยยิ้มบนใบหน้าและมิตรภาพของเขาที่มีต่อทุกคนที่หยุดยืน หยุดชม ไปจนถึงเลือกซื้อหาหนังสือจากร้านของเขา
ชายผู้เรียกตนเองว่าพี่หลวง
หลวง ในภาษาใต้ที่หมายถึงชายผู้ผ่านการบวชเรียนมา
ยามเย็นบริเวณท่าช้างนั้นถือได้ว่าเป็นพื้นที่อันพลุกพล่าน นั่นข้าราชการกรมศิลปากรที่เกษียณแล้วแวะมาลงชื่อในเอกสารรับบำนาญและยืนคุยกับเพื่อนเก่าพลางพลิกหนังสือว่าด้วยประวัติศาสตร์ของโขนละครในเขมรไปมาระหว่างบทสนทนา
นั่นข้าราชการทหารชั้นเรือโทจากกองทัพเรือเพิ่งเลิกงาน เขาฆ่าเวลาก่อนกลับบ้านด้วยรถสวัสดิการโดยการมองหาหนังสือว่าด้วยพระเครื่อง
ช่วงนี้เขากำลังหมกมุ่นกับการเก็บพระเนื้อชินเข้าคลังพระส่วนตัวและคิดว่าควรหาความรู้เพิ่มก่อนที่จะตกไปเป็นเหยื่อในสนามพระ
นั่นนักศึกษาด้านนิติศาสตร์สองคน ขจัดความน่าเบื่อหน่ายจากชั้นเรียนกฎหมายด้วยการมองหาหนังสืออื่นที่จะทำให้เขาเพลิดเพลิน
เขาเก็บประมวลคำพิพากษาใส่ลงกระเป๋าก่อนจะนั่งยองๆ ลงกับพื้นเพื่อค้นหาหนังสือการ์ตูนเล่มเล็กที่คาดว่าน่าจะทำให้เขาหัวเราะหัวใคร่ได้บ้าง
นั่นพนักงานออฟฟิศที่กำลังจะต่อเรือเข้าคลองบางกอกน้อย เธอพลิกนิตยสารผู้หญิงในกองดูอย่างสนใจ นิตยสารเหล่านั้นอาจเก่าเกินเวลาไปปีสองปี แต่ภาพแฟชั่นในนั้นยังไม่ล้าสมัย ซื้อสักสามสี่เล่มยังไม่ถึงใบแดงหนึ่งใบ
ร้านหนังสือริมทางแห่งนี้นอกจากรอยยิ้มอันเปี่ยมมิตรภาพของผู้เป็นเจ้าของแล้ว ราคายังถือว่าเป็นมิตรภาพอย่างยิ่ง
ผมเป็นลูกค้าประจำของร้านหนังสือริมทางแห่งนี้ ภายหลังจากการซื้อหนังสืองานศพของนักการศึกษาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่ง การทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยเก่าแก่บริเวณนี้ทำให้ผมมีโอกาสได้พบกับความจริงว่าตลาดนัดแบบสัญจรริมทางเดินจากท่าพระจันทร์จรดท่าช้างและเลยไปจนถึงท่าเตียนในวันที่แม่ค้าพ่อค้ามาพบกันโดยมิได้นัดหมายนั้นน่าสนใจมาก
คุณอาจพบได้ตั้งแต่ผักปลอดสารพิษจากชาวสวนริมคลองที่นำมาขายในราคาที่อยากให้ทุกคนได้กิน ตำลึงยอดงามๆ ลูกมะแว้งสีแดงเข้ม ไปจนถึงมะนาวแป้นพื้นบ้านที่บีบน้ำออกมาแล้วกลิ่นมะนาวหอมติดมือก็มี
พระบูชาตั้งแต่พระทรงเครื่องยันรูปเคารพของเทพต่างๆ ก็มี
ของเล่นเด็กนานาชนิดที่ถูกแถมจากร้านค้าบ้าง เป็นของเก่าบ้างก็มี
มีดพร้าที่ตีจากเหล็กชั้นดีก็มี เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถ้าไม่รังเกียจเสียหน่อยว่าเอาไปซ่อมแซมก็ใช้การได้ดีก็มี เครื่องมือช่างตั้งแต่สิ่ว ไปถึงกบไฟ้ฟาก็มี รากไม้สมุนไพรตั้งแต่กวาวเครือยันกิ่งข่อยก็มี
ร้านค้าเหล่านั้นมักหมุนเวียนไปตามสะดวก ที่ทางริมถนนมีมากมาย หากไม่หวังจะได้ที่ทางที่มีร่มเงาแล้วละก็ไม่มีใครที่หอบหิ้วสินค้ามาจะผิดหวังที่เขาไม่มีพื้นที่สำหรับอวดสินค้าของตน
แต่ร้านหนังสือริมทางท่าช้างนั้นอยู่ที่เดิม ไม่เคยเปลี่ยน
ร้านแห่งนั้นกินพื้นที่น่าจะไม่เกินสามถึงสี่เมตร มันตั้งอยู่ด้านหลังเยื้องจากป้ายรถเมล์ใหญ่บริเวณท่าช้างเล็กน้อย
หากจะมุ่งหน้าลงท่าช้างไปต่อเรือทั้งข้ามฟากและเรือด่วน ร้านจะอยู่ซ้ายมือของทางเดิน
แต่ถ้าหากขึ้นจากฝั่งมาเพื่อต่อรถประจำทางตัวร้านจะอยู่ขวามือ
ผมเรียกร้านนี้แต่แรกในใจว่าร้านหนังสือท่าช้าง แต่ภายหลังจากได้ยินเจ้าของร้านเรียกตัวเขาเองว่า “พี่หลวง”
คำเรียกนั้นก็เปลี่ยนใหม่เป็นร้านหนังสือ “พี่หลวง”
เหตุการณ์อุทกภัยในปี 2554 พาผมออกห่างจากเมืองหลวงและออกห่างจากพี่หลวงด้วย
หลายครั้งที่เดินผ่านร้านหนังสือเก่าในตัวเมืองเชียงใหม่ ผมอดนึกถึงเจ้าของร้านผู้อารีผู้นั้นไม่ได้
เขาจะรู้สึกอย่างไรบ้างถ้าพบว่าหนังสือหลายเล่มที่เขาวางขายในราคามิตรภาพนั้นได้กลายเป็นหนังสือหายาก ราคาสูงลิบลิ่วไปเสียแล้ว
เขาเป็นอย่างไรบ้างในช่วงน้ำหลากครั้งนั้น แน่นอนว่าบริเวณท่าช้างและใกล้เคียงย่อมไม่อาจเป็นพื้นที่ค้าขายได้ในช่วงเวลาดังกล่าว
และเขายังคงขายหนังสืออยู่หรือไม่?
งานกิจการขายหนังสือนั้นเป็นงานที่แปลก ในด้านหนึ่งมันดูไม่ให้กำไรหรือยอดขายที่พึงพอใจนัก
แต่เจ้าของร้านหนังสือแทบทุกคนที่ผมได้พบไม่ว่าจะเป็นเจี๊ยบ-วิทยากร โสวัตร แห่งร้านฟิลาเดลเฟีย คุณชาญแห่งร้านหนังสือ ชาญ โค พวกเขาเหล่านั้นดูจะข้ามพ้นความรู้สึกเปรียบเทียบอาชีพของตนเองกับอาชีพของคนอื่นไปแล้ว
อย่างน้อยความสุขที่ฉายฉานบนใบหน้าของพวกเขาในขณะที่ทำความสะอาดหนังสือ จัดหนังสือขึ้นชั้นหรือพูดคุยกับผู้คนที่แวะเวียนมาชมหนังสือภายในร้านก็บอกผมเช่นนั้น
ปี 2557 หลังการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ผมลงมางานเสวนาทางวิชาการที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนเกาะรัตนโกสินทร์
หลังงานเสวนาผมเดินเล่นไปตามคลองหลอดจนทะลุตรอกสาเกไปถึงบริเวณตึกแถวแห่งหนึ่ง
แผงหนังสือหน้าร้านทำให้อดใจในการเข้าไปเยี่ยมชมไม่ได้ ข้างในห้องเพียงห้องเดียวในอาคารแห่งนั้นอัดแน่นไปด้วยหนังสือแทบทุกจุด
ชายที่กำลังทำความสะอาดหนังสือตะโกนเชื้อเชิญให้เลือกดูหนังสือตามสะดวก เขายังอยู่ในเครื่องแบบแบบเดิม เสื้อแขนยาวและกางเกงชาวเล
“พี่หลวง” นั่นเอง
การพบกันในครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีในการแนะนำตัว ผมบอกพี่หลวงว่าผมติดตามซื้อหนังสือของร้านพี่หลวงมาแต่ร้านริมทางที่ท่าช้าง
เป็นดังคาด เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนั้นทำให้ชายเจ้าของร้านผู้นี้จำต้องแสวงหาสถานที่ใหม่
ในที่สุด “ผมก็มีร้านหนังสือเป็นหลักแหล่ง ขายริมทางมาหลายปี ได้มีโอกาสเอาหนังสือขึ้นชั้นเสียที”
บทสนทนาของเราในวันนั้นนอกจากการถามไถ่ในสารทุกข์สุกดิบยังเต็มไปด้วยความดีใจไม่ต่างจากการเจอมิตรสหายเก่า
พี่หลวงมอบเบอร์โทรศัพท์และบอกว่าต้องการหนังสือเล่มใดก็แจ้งมาสู่เขาได้
ผมกล่าวลาเขาในขณะที่เขากลับสู่ชั้นหนังสือเพื่อจัดการกองหนังสือมหึมาภายในร้านเหล่านั้น
กาลเวลาผ่านไป ร้านหนังสือพี่หลวงสัญจรตนเองอีกครั้ง
แต่ในครานี้การตามหาร้านของเขาไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีกต่อไป โลกของโซเชียลมีเดียกวาดต้อนทุกคนเข้าไปในนั้นรวมถึงร้านหนังสือของพี่หลวงด้วย
พี่หลวงเปิดเพจใน facebook สำหรับการขายหนังสือ เขาย้ายร้านอีกครั้งไปอยู่บริเวณศาลเจ้าพ่อเสือไม่ไกลจากร้านเดิมเท่าใดนัก
และในหลายวันก่อนช่วงเวลาที่โรคห่ากินปอดตามภาษาชาวบ้านท้องถิ่นกำลังออกอาละวาดนั้น ผมกดโทรศัพท์หาพี่หลวงเพื่อถามถึงกิจการร้านหนังสือในยามนี้ก่อนที่บทสนทนาจะเรื่อยยาวไปจนถึงชีวิตแห่งหนังสือของเขา
“พี่หลวงเริ่มสนใจหนังสือตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ก็ตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กสักประถมศึกษาสาม พี่หลวงโดนรถชน ทางบ้านก็ไปบนบานว่าถ้าหายดีจะให้บวช ก็หาย หลังจากนั้นก็บวชเป็นเณร พอเข้าไปเป็นเณรในวัดแถวบ้านมันก็มีหนังสือให้อ่านเยอะ แต่จริงๆ ก่อนหน้านั้นก็อ่านมาบ้างแล้ว น้าชายคนหนึ่งที่บ้านแกรับนิตยสารพวกจักรวาลปืนอะไรทำนองนี้ เราก็อ่านเรื่องบู๊บ้างตามแก แต่พอเราไปบวชเข้าวัด เรากลับไปชอบงานลึกลับอย่างงานของคุณจินตวีร์ วิวัธน์ นี่พี่หลวงชอบมาก อ่านติดงอมแงมไม่ว่าจะเป็นอมฤตาลัย หรือเรื่องอื่นๆ”
“หนังสือพวกนี้มันหาอ่านง่ายหรือครับ พี่หลวงบวชที่ไหน?”
“พี่หลวงบวชที่ชุมพร แต่พื้นเพเดิมทั้งพ่อและแม่เป็นคนแม่กลองนะ คนสมุทรสงคราม คือมันมีร้านหนังสือเช่าใกล้วัดไง เรามีเงินเก็บบ้าง หนังสือเช่าก็ไม่แพง เณรเล็กๆ เขาก็ไม่คิดเงินมาก เราก็เช่าอ่าน อ่านเป็นวันๆ เลย ตอนหลังเปลี่ยนจากเรื่องลึกลับสยองขวัญมาอ่านงานของทมยันตี พวกงานโรแมนติก สะเทือนใจ นี่อ่านแล้วแบบเข้าไปในอารมณ์มากๆ คู่กรรมเอย พี่เลี้ยงเอย พวกนี้อ่านหมด เรียกว่างานแนวนี้ของทมยันตีน่าจะอ่านครบทุกเล่ม”
“พอชอบอ่านหนังสือ พี่หลวงเลยคิดจะมีร้านหนังสือเลยหรือไม่?”
“ไม่ครับ คือบวชเรียนไปเรื่อยจนจบบาลีประโยคสาม ทางวัดก็ส่งเข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นมาพักอยู่ที่คณะสี่ วัดมหาธาตุ ตรงท่าพระจันทร์ ก็เรียนไปเรื่อยๆ จนสอบเข้ามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ พี่หลวงเรียนคณะสังคมศาสตร์ เอกสังคมวิทยา ตอนนั้นยิ่งอ่านหนังสือหนัก เพราะใกล้สนามหลวงใช่ไหม ร้านหนังสือตรงแม่พระธรณีก็ยังมี เสาร์-อาทิตย์พี่หลวงไปซื้อหนังสือตลอด ตอนนั้นรู้ตัวแล้วว่าชอบงานประเภทที่อ่านแล้วสะเทือนใจ อย่างพวกบทกลอนนี่ชอบมาก ไม่ว่าจะเป็นงานของอาจารย์ประยอม ซอมทอง อาจารย์อุชเชนี อีกคนที่ชอบมากคือ เฉลิมศักดิ์ ศิลาพร คนนี้เขียนกลอนเพราะมาก พี่หลวงไปอ่านเจอที่หอสมุดแห่งชาติ ก็ตามงานเขามาตลอด จนบัดนี้หนังสือไม่อยู่แล้ว พี่หลวงก็ยังจำกลอนเขาได้”
“พี่ขอท่องนะ”
“ดาวปลิดดวงร่วงพรากจากชายฟ้า
กระไอหมอกน้ำตาแต้มฟ้าหม่น
โอ้บทเพลงสวาทหมายเริ่มคลายมนต์
ดอกรักหล่นจากกิ่งทิ้งต้นไป
ถ้าหัวใจฉันแข็งแกร่งกว่านี้ฉันคงมีแรงคะนึงถึงวันใหม่
วันซึ่งแดดอบอุ่นละมุนละไมและคืนซึ่งดอกไม้ร่ายระบำ
แต่นี่ฉันคือผู้อยู่กับทุกข์มีความสุขอยู่กับฝันอันชื่นฉ่ำ
มีแผลรักสลักใจให้จดจำและชอกช้ำทุกเยื่อเนื้อหัวใจ
เมื่อปิดม่านละครรักฉากสุดท้าย
วิมานทลายชีวันเริ่มหวั่นไหว
นกขมิ้นเหลืองอ่อนเร่ร่อนไป
หลงอยู่ในป่ากรรมตามลำพัง
ไร้กรงแก้วคอนทองของความรัก
เหมือนสิ้นหลักพักใจไร้ความหวัง
ลอยตามลมจมตามดินสิ้นกำลัง
หมดแรงรักคืนรังมาชื่นชม
ความเอ๋ยความหลัง
จะกักขังเก็บไว้ด้วยใจข่ม
กับรอยยิ้มที่ทาบทับดับรอยตรม
น้อมรับคมความทุกข์ที่รุกเร้า
ดาวปลิดดวงร่วงพรากจากชายฟ้า
เสน่หาเปลี่ยนประกายฉายแววเศร้า
ความรักที่ตราการประจานเงา
เมื่อกลีบรักโรยเฉาร่วงเคล้าดิน”
“บทนี้ชื่อ ‘ฝันฝาด’ ของเฉลิมศักดิ์ ศิลาพร ครับ”