ป่วนทั่วประเทศ : มนัส สัตยารักษ์

“กม.คุมต่างด้าวป่วนทั่วประเทศ”

“Law on migrant workers delayed”

“Thousands of migrant workers head home”

“สภาอุตสาหกรรมฯ ชี้ กม.แรงงานต่างด้าวยิ่งใช้ยิ่งยุ่ง”

“รัฐทบทวน พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าว”

“ม.44 แก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว”

“งดจับต่างด้าว ยืด กม.ใช้ปี “61”

ข้างต้นคือบางส่วนของพาดหัวข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์และทีวี รวมทั้งหัวข้อข่าวกับคลิปภาพข่าวในเฟซบุ๊ก

สภาวะ “ป่วนทั่วประเทศ” ครั้งนี้ เพราะ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ออกมาใช้แทนของเดิม โดยไม่ได้ให้ผู้เกี่ยวข้องมีเวลาเตรียมตัวและเตรียมการรองรับ

ก็เช่นเดียวกับกฎหมายอื่นอีกหลายฉบับ ที่รัฐบาลรีบร้อนออกมาบังคับใช้ราวกับขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา และไม่มีการเตรียมการในทางปฏิบัติ แล้วก็จบลงด้วยการใช้ ม.44 หยุดปัญหา (ไว้ชั่วคราว) อย่างเคย

อดคิดไม่ได้ว่า พวกเขารีบร้อนเพราะกลัวว่านายกรัฐมนตรีจะไม่มีเรื่องคุย หรือจะไม่มีคำตอบ เวลาไปพบกับ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ที่สหรัฐอเมริกา ที่รายงานกรณี “ค้ามนุษย์” ล่าสุดไทยยังอยู่ระดับเทียร์ 2 อย่างเดิม

แท้จริงแล้วที่ป่วนทั่วประเทศนั้นน่าจะเป็นเพราะอัตราโทษปรับผู้กระทำผิด พ.ร.ก. นี้สูงมาก (400,000-800,000 บาท) ทำให้นายจ้างไทยรีบปล่อยมือและผลักไสแรงงานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยทันที บางรายก็ฉวยโอกาส “เบี้ยว” ค่าแรงงวดสุดท้ายเสียด้วยความชำนาญ แรงงานต่างด้าวนับหมื่นสาปแช่งแล้วรีบเดินทางกลับประเทศโดยทันทีเช่นกัน

ที่ผมหยิบเรื่องการรีบออกกฎหมายมาพูดก็เพราะมีข่าวจากคลิปตามมาว่าตำรวจอำเภอแม่สอด 3 นายฉวยโอกาสเรียกรับเงินจากต่างด้าวที่กำลังเดินทางออกนอกประเทศทันทีเช่นกัน จะจริงหรือไม่จริงกำลังตั้งกรรมการสอบสวนกันอยู่

แล้วก็มาสะอึกครั้งหลัง เมื่อมีข่าว ผบ.ตร. ออกคำสั่งเด็ดขาด “กำชับตำรวจ ห้ามอาศัยช่องว่างกฎหมายเรียกรับผลประโยชน์จากต่างด้าว”

ฟังแล้วรู้สึกราวกับว่าก่อนหน้าที่จะออก พ.ร.ก. หรือก่อนที่จะมีช่องว่างจากการผ่อนปรน ตำรวจมีสิทธิ์เรียกรับได้งั้นแหละ

คนไทยคล้ายคนดูไบและคนสิงคโปร์ งานบางอย่างทำไม่ได้หรือทำไม่เป็น แม้จะมีกฎหมายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้สูงขึ้นแล้วก็ตาม ไทยต้องจ้างแรงงานไร้ทักษะข้ามชาติกว่า 3 ล้านคนจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีปัญหาเศรษฐกิจและความมั่นคง

งานบางอย่างจึงดำเนินต่อไปได้ เช่น งานประมงน้ำลึก งานก่อสร้างและอุตสาหกรรมบางประเภท เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มีปัญหาทุจริตผิดกฎหมายในการข้ามแดนหรือการรับแรงงานเข้าทำงาน รวมทั้งความต้องการของนายจ้างจะให้ปลอดจากการควบคุมและตรวจสอบของทางราชการ และในที่สุดก็มีปัญหาเรื่อง “ค้ามนุษย์” ไปเข้าหูต่างประเทศที่คอยจับผิด

ผมเคยมีลูกจ้างทำงานบ้านเป็นแรงงานข้ามชาติ บางปีแม้ทางราชการไม่ได้เข้มงวดมากนัก แต่ความเป็นข้าราชการจำต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ผมรู้สึกว่ามีกฎระเบียบหยุมหยิมจนยุ่งยากในทางปฏิบัติ

บางปีทางการเกิดมีนโยบายเข้มงวดกว่าปกติขึ้นมา ทั้งนายจ้างและลูกจ้างต่างต้องเฮละโลกันไปรอคิวข้ามวันข้ามคืน ผมต้องใช้วิธีเซ็นมอบอำนาจให้ลูกจ้างไปทำกันเอง

ผลพวงจาก พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวครั้งนี้มีภาพและข้อความล้อเลียนหรือประชดเจ้าหน้าที่ของไทยจากสื่อโซเชียลชายแดนด้านประเทศเมียนมา ทำนองว่า แรงงานต่างด้าวในไทยต้องติดบัตรและแขวนป้ายชนิดต่างๆ รอบตัว รอบเอวและรอบหัว

อาการชักเข้าชักออกของกฎหมายหลายครั้งซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำรัฐบาลเสียหน้า เสียเครดิต และทำลายความน่าเชื่อถือ และกระทบกระเทือนไปถึง “ตำรวจ” อย่างหนีไม่พ้น

ขอย้อนไปยังครั้งที่ชักเข้าชักออกเรื่องห้ามนั่งกระบะท้ายกับห้ามนั่งแค็บ จำได้ว่านายกรัฐมนตรีออกมาขอโทษต่อสาธารณชน พร้อมกับใช้วิธีผ่อนปรนไม่ให้มีการจับกุม สั่งกำชับ ผบ.ตร. ห้ามตำรวจรีดไถ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมอยากจะเห็นจริงๆ ตำรวจที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ ที่รีดไถและฉวยโอกาสจากเรื่องนี้ จะถ่ายคลิปหรือจำชื่อตำรวจที่รีดส่งมาก็ได้”

เมื่อถูกถามว่าจะมีการเยียวยาให้กับประชาชนที่ถูกจับไปก่อนที่จะมีการชะลอการบังคับใช้กฎหมายหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไร “ก็เหมือนกับอ้อยเข้าปากช้างไปแล้ว ต้องไปถามช้างว่ากินอ้อยเข้าไปแล้วจะเอาออกมาอย่างไร ที่สำคัญช้างนั้นก็เป็นช้างหลวงด้วย ก็คงเอาออกมายากหน่อย”

ผมคิดว่าท่านรองนายกฯ พยายามพูดให้มีอารมณ์ขัน เพียงแต่ผมหัวเราะไม่ออกเพราะดูเหมือนหลังจากนั้นไม่นาน มีตำรวจนายหนึ่งจับกุมผู้กระทำผิดขับรถมีคนนั่งกระบะท้ายแล้วอ้างว่า

“ยังไม่เห็นคำสั่งให้ผ่อนปรน!”

กฎหมายบางฉบับออกจะแปลกๆ เข้าลักษณะ “หวังดีประสงค์ร้าย” ด้านหนึ่งเหมือนคุ้มครองประชาชน แต่ดูไปใช้ไปกลับกลายเป็นจำกัดสิทธิ์ประชาชนไปเสียฉิบ

คณะรัฐมนตรีก็เหมือนคนหูเบา เชื่อง่าย เจอคนพูดเก่ง พูดเอามัน เสนออะไรมาเอาหมดโดยไม่พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ กว่าจะเอา ม.44 มาล้างมาเช็ดก็มีคนเจ๊งไปแล้ว

หรืออาจจะเป็นเพราะบุคลิกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เหมือนเป็นคนใจร้อน ปากไวไม่ชอบคนคิดนาน ใครโอ้เอ้ชักช้าอาจจะถูกตำหนิ

ดังนั้น มีอะไรก็รีบๆ เสนอ ก่อนจะโดนเขวี้ยงด้วยของใกล้มือ

กําลังจะหยุดบ่นก็พอดีเพื่อนคนหนึ่ง ยศ พล.ต.ท. ไลน์ส่งข่าวมาในกรุ๊ปว่า

“ออกมาแล้ว!!! 23 พ.ร.บ.จราจรใหม่ ปรับหนักมากขึ้น โปรดระวัง!! วันที่ 25”

แล้วก็ไล่เรียง 28 ข้อหา ซึ่งส่วนใหญ่จะมีค่าปรับไม่เกิน 1,000-2,000 บาท บางข้อหาเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ขนส่ง บางข้อหาเป็นความผิด ป.อาญา ต้องฟ้องศาล

ข้อหาที่ยังเถียงกันไม่จบ… “ล้อยางเกินออกมานอกบังโคลนข้างละหลายนิ้ว”

มีข้อหาที่ผมไม่เข้าใจ “พ่นสีรถสะดุดตาจากความเป็นจริง” ปรับ 5,000-10,000 บาท

มีอยู่ 3 ข้อหาที่ผมคิดว่าคนร่างเสนอคงอยู่ในอารมณ์ทะเลาะกับเมียหรืออีหนูที่บ้าน… “กินอาหารบนรถขณะขับขี่” “บ่นเสียงดังหรือทะเลาะกันบนรถ” และ “แต่งหน้าบนรถ”

ผู้ที่จะถูกจับกุมเตรียมลับฝีปากไว้ทะเลาะกับตำรวจได้แล้วครับ ส่วนตำรวจก็เตรียมหาคำไม่หยาบไว้ด่ารัฐบาล สำหรับรัฐบาลนั้นก็เตรียมใช้ ม.44 ไว้ล้างและเช็ดตามที่เคยทำ