เปิดสถิติแหกคุกถี่ หนีโทษ-ผวาโควิด วิสามัญดับที่พัทลุง ราชทัณฑ์สั่งแก้ด่วน/อาชญา ข่าวสด

อาชญา ข่าวสด

 

เปิดสถิติแหกคุกถี่

หนีโทษ-ผวาโควิด

วิสามัญดับที่พัทลุง

ราชทัณฑ์สั่งแก้ด่วน

 

ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า สำหรับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งนอกจากน่าเป็นห่วงเรื่องผู้ติดเชื้อแล้ว ยังมีปัญหาที่ตามมาเป็นทอดๆ กับหลายภาคส่วน

ไม่ว่าจะเป็นในเรือนจำต่างๆ ที่เกิดการระบาดของเชื้อโควิดด้วยเช่นกัน จนต้องปรับมาตรการป้องกันขนานใหญ่

และไม่เพียงแค่ปัญหาโควิด ในรอบเดือนที่ผ่านมากลับพบเหตุแหกเรือนจำขึ้นบ่อยครั้ง อย่างน้อยๆ ก็ 3 กรณี แถม 1 ในนั้นยังมีผู้ต้องขังที่เป็นผู้ป่วยโควิด ที่เรือนจำกลางพัทลุง ที่หลบหนีออกจากที่คุมขังระหว่างรักษาตัว

ร้อนจนเจ้าหน้าที่ต้องเร่งติดตามตัวเพราะเกรงจะไปแพร่เชื้อ สุดท้ายแทนที่จะยอมให้จับกุมตัว กลับต่อสู้แย่งอาวุธปืนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จนเป็นเหตุให้เกิดการวิสามัญ สูญเสียชีวิต และเพิ่มความเสี่ยงในการระบาดของโรค

จึงเป็นปัญหาที่จำเป็นต้องทบทวนถึงกระบวนการควบคุมดูแลผู้ต้องขัง ไม่ให้ใช้จุดอ่อนข้อบกพร่องในการควบคุมโรค นำไปสู่การแหกเรือนจำอีก

วิสามัญดับที่พัทลุง

วิสามัญ ‘นช.’ แหกเรือนจำ

เหตุการณ์ระทึกครั้งนี้เกิดขึ้นช่วงสายของวันที่ 2 สิงหาคม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ภ.จว.พัทลุง รับแจ้งผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด หลบหนีการคุมขังออกจากโรงพยาบาลพัทลุง จึงรุดตรวจสอบที่เกิดเหตุและสอบสวนพยานแวดล้อม

พบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายประพัฒน์ หนูปาน อายุ 26 ปี ชาว ต.โคกสัก อ.บางแก้ว จ.พัทลุง ซึ่งเป็นผู้ต้องขังระหว่างการสอบสวนของ สภ.ป่าบอน และเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เรือนจำกลางพัทลุง และถูกส่งมารักษาตัวที่โรงพยาบาลพัทลุง หลบหนีออกมา

จากนั้นขโมยรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า คลิก สีแดง ทะเบียน ขกน 647 พัทลุง ที่เจ้าของจอดเสียบกุญแจทิ้งไว้ หน้าบ้านพักถนนพัฒนา ต.คูหาสวรรค์ เขตเทศบาลเมืองพัทลุง หลบหนีไป จึงเร่งออกติดตามไล่ล่า

พร้อมแจ้งตำรวจ สภ.ตะโหมด จ.พัทลุง ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านพักของญาตินายประพัฒน์ ให้มาสอดส่องดูว่าผู้ต้องขังรายนี้หลบหนีมาซ่อนตัวหรือไม่ พร้อมทั้งกางแผนที่ตรวจสอบจุดต่างๆ ทั้งใน อ.ป่าบอน และ อ.ตะโหมด รวมทั้งที่ อ.บางแก้ว ที่เป็นบ้านอดีตภรรยา

หาจุดที่น่าจะเป็นที่หลบซ่อน พร้อมแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบถึงความเสี่ยง ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ต้องเร่งทำแข่งกับเวลาเพราะยังมีความเสี่ยงที่นายประพัฒน์จะแพร่เชื้อโควิดให้กับคนในพื้นที่

ช่วงค่ำวันดังกล่าวก็ได้เรื่อง เมื่อมีพลเมืองดีแจ้งพบนายประพัฒน์ขับรถวนเวียนอยู่แถวเขตเทศบาลตำบลแม่ขรี จึงติดตามจนเจอ

พร้อมประกาศให้ยอมมอบตัว แต่นายประพัฒน์กลับบุกประชิดตัวตำรวจ วิ่งเปิดประตูรถเพื่อแย่งอาวุธปืน ก่อนที่จะกอดรัดฟัดเหวี่ยงและแย่งปืนเจ้าหน้าที่ตำรวจไปได้ ขณะที่เพื่อนตำรวจอีกนายที่มาด้วยกัน พยามยามตะโกนให้ยอมแพ้ แต่นายประพัฒน์คว้าปืนที่แย่งมาได้จ่อยิงตำรวจ แต่อาวุธปืนไม่ลั่น เนื่องจากยังไม่ได้ขึ้นลำ ตำรวจอีกคนจึงยิงสวนกลับจนเสียชีวิต

ชันสูตรศพพบถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 ม.ม. เข้าบริเวณลำตัวรวม 3 นัด ใกล้ศพ เจ้าหน้าที่ยังพบอาวุธปืนขนาด 9 ม.ม.ตกอยู่ 1 กระบอก จึงรวบรวมหลักฐาน ดำเนินคดีกับตำรวจที่ก่อเหตุวิสามัญ

ขณะที่ตำรวจชุดจับกุมทั้ง 6 นายต้องกักตัว และตรวจหาเชื้อโควิดต่อไป

สำหรับคดีความของนายประพัฒน์นั้น เป็นผู้ต้องหาในคดีก่อเหตุชิงทรัพย์จักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีขาว-ชมพู ทะเบียน ขขข 70 พัทลุง เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ในท้องที่ ม.8 ต.ป่าบอน อ.ป่าบอน

จากนั้นถูกเจ้าหน้าที่ สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี จับกุมตัวในข้อหาเสพยาเสพติด และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าบอน ขออายัดตัวในข้อหาชิงทรัพย์ รับตัวนายประพัฒน์มาดำเนินคดีเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม และส่งฝากขังศาลจังหวัดพัทลุง

ต่อมาเรือนจำกลางพัทลุงได้ตรวจพบเชื้อโควิด จึงได้นำตัวมารับการรักษาในโรงพยาบาลพัทลุง เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ก่อนจะหลบหนีและถูกวิสามัญ

เป็นความสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ

จับที่เพชรบูรณ์

หนีอีกเพียบ-รับหวั่นติดโควิด

นอกจากคดีนี้ ยังมีการหลบหนีของนักโทษอีกหลายกรณี อาทิ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม เวลาประมาณ 04.30 น. นักโทษชาย 4 ราย คือ 1.นายวัชรินทร์ จันทร์บูรณ์ 2.นายภัทรดนัย หรือราชันย์ สื่อศิริธำรงค์ 3.นายธนดล ตันติวนิชนม์เจริญ 4.นายกฤษฎา คงขาว ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้ต้องหายาเสพติด หนีออกจากเรือนจำกลางเพชรบูรณ์

โดยหลบหนีจากเรือนนอนมาซุกอยู่อาคารที่ก่อสร้าง ก่อนปีนออกมาโดยใช้ผ้าปูที่นอนโรยตัวลงมา

ต่อมาสามารถจับกุมได้แล้ว 1 ราย คือนายวัชรินทร์ ซึ่งสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณริมถนนสระบุรี-หล่มสัก หน้าโรงเรียนเมืองเพชรบูรณ์

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งจากพลเมืองดีว่าพบนักโทษที่หลบหนี 1 รายวิ่งผ่านหน้าร้านขายเฟอร์นิเจอร์และวิ่งไปหลบอยู่ในป่าหลังร้านใกล้กับโรงเรียนเมืองเพชรบูรณ์ จุดที่จับผู้ต้องขังรายแรกได้ จึงนำกำลังออกไปตรวจสอบและสามารถจับผู้ต้องขังที่หลบหนี 2 รายนอนซุกอยู่ในป่าหลังร้าน คือนายธนดล และนายกฤษฎา

จนช่วงค่ำวันเดียวกัน สามารถจับกุมตัวนายภัทรดนัย สื่อศิริธำรงค์ ได้ขณะที่นายภัทรดนัยย้อนกลับมาหาแม่ที่บ้านภายในตลาดเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่เรือนจำซึ่งซุ่มเฝ้าบ้านหลังดังกล่าวไว้ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาช่วยจับกุมตัวได้ในที่สุด

ส่วนอีกกรณีคือที่เรือนจำจังหวัดสุพรรณบุรี 5 นักโทษ ประกอบด้วย 1.นายอนิวัติ์ อนุสี อายุ 25 ปี 2.นายปริญญา มูลสิงห์ อายุ 30 ปี 3.นายจิระโชติ ฉิมเพชร อายุ 19 ปี 4.นายสาคร เหมือนทิพย์ อายุ 39 ปี และ 5.นายอาทิตย์ กลิ่นขจร อายุ 24 ปี โดยทั้งหมดเป็นนักโทษที่แยกออกมาเพื่อตรวจคัดกรองโควิด นอกกำแพงเรือนจำ ปีนหนีออกทางฝ้าเพดาน

แต่สุดท้ายก็หลบหนีไม่รอด เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมได้ และมีผู้ต้องขังติดต่อขอมอบตัว ก่อนส่งทั้งหมดไปขังที่เรือนจำที่มีระบบควบคุมสูงที่เขาบิน จ.ราชบุรี

สอบสวนให้การว่าที่คิดหลบหนีเพราะไม่คุ้นชินกับชีวิตในเรือนจำ รวมทั้งกลัวจะเข้าไปติดโควิดข้างใน จึงต้องหนีเอาชีวิตรอด

แต่สุดท้ายก็คิดได้แล้วว่าคงจะไปไม่รอด จึงย้อนกลับมามอบตัว

อีกเหตุ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม นายกิตติพงษ์ เพิ่มสุข อายุ 29 ปี ผู้ต้องขังคดี พ.ร.บ.อาวุธปืน ที่เรือนจำนครนายก ระแวงว่าแฟนสาวจะปันใจ จึงกลืนเศษแปรงสีฟัน จนปวดท้องรุนแรง เจ้าหน้าที่เบิกตัวส่งโรงพยาบาลนครนายก แล้วใช้จังหวะที่แพทย์จะผ่าตัด ทำทีเข้าห้องน้ำหลบหนีออกมา แต่ในที่สุดก็ถูกติดตามจับกุมได้สำเร็จ

เป็นความพยายามแหกเรือนจำในรอบเดือน

นช.สุพรรณมอบตัว

ราชทัณฑ์สั่งปรับมาตรการ

ขณะที่ทางราชทัณฑ์ระบุว่า ข้อมูลผู้ต้องราชทัณฑ์ ณ วันที่ 1 สิงหาคม มีนักโทษเด็ดขาด 249,343 ราย เป็นนักโทษชาย 219,843 ราย นักโทษหญิง 29,500 ราย และมีผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี รวม 55,192 ราย แยกเป็นผู้ต้องขังชาย 48,824 ราย และผู้ต้องขังหญิง 6,368 ราย

ช่วงเดือนที่ผ่านมา มีข่าวผู้ต้องขังหลบหนีออกจากเรือนจำบ่อยและถี่ขึ้น อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์เห็นว่าการหลบหนีของผู้ต้องขังนั้นไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะการหาช่องทางหลบหนีเป็นปกติของอาชญากร ตามหลักอาชญาวิทยา

แต่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ต้องใช้หลักทัณฑวิทยานำมาแก้ไข และอุดช่องโหว่

หลายคนมองว่าเป็นเพราะสถานการณ์โควิดหรือไม่ ทำให้ผู้ต้องขังเกิดความหวาดกลัวที่จะมาติดโควิดในเรือนจำ จึงหลบหนี เรื่องนี้เป็นเพียงส่วนน้อย ความเป็นจริงแล้วผู้ต้องขังใหม่ที่จะเข้าสู่เรือนจำนั้นเมื่อตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด ทางเรือนจำจะมีการให้ยารักษาอาการป่วยทันที แยกกักตัว หากป่วยหนักก็ประสานหาที่รักษา เรียกได้ว่าดูแลตามมาตรฐานสาธารณสุขทุกอย่าง

ทั้งนี้ จากสถิติข้อมูลการหลบหนีนั้น ส่วนใหญ่จะเกิดกับกลุ่มผู้ต้องขังเข้าใหม่ หรือผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี เนื่องจากเป็นช่วงที่กำลังต้องปรับตัวกับการใช้ชีวิตในเรือนจำ จะเกิดความกังวัล กลัว และคิดถึงครอบครัว อยากกลับบ้าน แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปสักระยะจะเริ่มปรับตัวได้

อีกสาเหตุที่ช่วงนี้พบการหลบหนีได้ง่ายของผู้ต้องขัง เป็นเพราะมีการสร้างแดนกักโรค ในเรือนจำหรือบางเรือนจำที่ไม่มีพื้นที่ก็ต้องปรับสถานที่เป็นที่คุมขังและกักโรค ดังนั้น ความมั่นคงก็คงไม่เท่าเรือนจำ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดเหตุ ทางกรมราชทัณฑ์ก็ได้สั่งการให้เข้มงวดและปรับปรุงสถานที่ให้มั่นคงแข็งแรงขึ้น

เป็นแนวทางของราชทัณฑ์ที่จะป้องกันการหลบหนีของนักโทษไม่ให้เกิดขึ้นอีก