‘บิ๊กตู่’ โชว์อีเวนต์ สามัคคี ‘พรรคร่วม’ ไม่โดดหนีเรือท่ามกลางพายุ/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

‘บิ๊กตู่’ โชว์อีเวนต์

สามัคคี ‘พรรคร่วม’

ไม่โดดหนีเรือท่ามกลางพายุ

 

อีเวนต์ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม

ที่มิตรประเทศได้มาบริจาควัคซีน เครื่องมือทางการแพทย์ให้แก่ไทยเพื่อรับมือกับสถานการณ์ระบาดโควิด-19 รวมมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท

ประกอบด้วย

1. ประเทศสหรัฐอเมริกา มอบวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์ ไบโอเอนเทค (Pfizer-BioNTech) จำนวน 1,503,450 โดส

2. ประเทศสหราชอาณาจักร มอบวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 415,040 โดส

และ 3. ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มอบชุดตรวจแอนติเจน เทสต์ คิต (Antigen Test Kit – ATK) จำนวน 1.1 ล้านชุด และเครื่องช่วยหายใจ จำนวน 102 เครื่อง

อันสะท้อนว่า รัฐบาลไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังมีเครดิตได้รับการหนุนเนื่องและสนับสนุนจากมิตรประเทศต่างๆ แล้ว

 

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในงานนี้ นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานการรับมอบ

ยังมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) เข้าร่วมด้วย

และหลังพิธีทั้งหมด ได้เดินพูดคุยกันกะหนุงกะหนิง และทางทำเนียบได้มีการเผยแพร่ภาพดังกล่าวผ่านสื่อมวลชนทุกแขนงด้วย

ทั้งนี้ ภาพการพูดคุยของ 4 แกนนำพรรคร่วมครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นการแสดงถึงความเหนียวแน่นของรัฐบาล

ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากล้มเหลวในการแก้ปัญหาและการจัดการการแพร่ระบาดของโควิด-19 กำลังกระหึ่ม

พร้อมๆ กันนั้น มีแรงกดดันไปยังพรรคร่วม เรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวออกจากรัฐบาล

การออกงานสำคัญร่วมกันและมีภาพการพูดคุยอย่างสนิทสนม จึงมองเป็นอื่นใดไม่ได้

นอกจากตอกย้ำว่า รัฐบาลยังคงเหนียวแน่น เป็นเอกภาพ

 

ทั้งนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา อธิบายว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรในกอไผ่ เป็นเรื่องปกติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ได้บอกกับทุกคนว่าฝากทุกพรรคทำงานด้วยกัน มีอะไรก็ให้พูดคุยกัน ในช่วงสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ในขณะนี้เพราะประชาชนเดือดร้อนจำนวนมาก หากมีอะไรต้องแก้ไขขอให้พูดคุยประสานงานกัน นายกฯ บอกว่าทุกคนหวังดีต่อประเทศทั้งนั้น เพียงแต่ขอให้พูดคุยกันมากๆ จะได้ทำความเข้าใจกัน

“เราก็บอกว่าเราทำงานกันอย่างเต็มที่” นายวราวุธระบุ

ส่วนที่ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นสิทธิที่ฝ่ายค้านทำได้ในแต่ละสมัยประชุมสภา เป็นการถ่วงดุลอำนาจตามระบอบประชาธิปไตย เชื่อว่าฝ่ายรัฐบาลคงจะเตรียมตัวทำการบ้านเพื่อที่จะตอบคำถามของฝ่ายค้านหรือข้อกังขาที่มีอยู่

“พรรคชาติไทยพัฒนาให้คำยืนยันมาตลอดว่า ตอนนี้เรือฝ่าพายุอยู่ โดดออกไปก็ไม่ได้แปลว่าพายุหาย มิหนำซ้ำอาจจะตายกลางพายุเหมือนกัน เรือก็จะพังทั้งลำ ฉะนั้นวันนี้ เรายังยืนหยัดทำงานเคียงข้างนายกฯ ให้การสนับสนุนเพื่อให้ประเทศไทยฝ่าวิกฤตไปได้ เพราะจะทำอะไรนาทีนี้คิดว่าการเมืองคงต้องพักไว้ก่อนแล้วหันมาแก้วิกฤตสถานการณ์โควิด-19 และอีกหลายๆ ประเด็น” นายวราวุธกล่าว

ขณะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทย นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ส.ส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองโฆษกพรรคภูมิใจไทย บอกว่า การเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากพรรคร่วมนั้น ทุกอย่างมีกติกาอยู่แล้ว คือ 1.หากนายกฯ ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ก็ตัดสินใจลาออก และ 2.ยุบสภา

ดังนั้น วันนี้เราต้องให้ความเป็นธรรมรัฐบาลด้วย เพราะรัฐบาลก็พยายามแก้ปัญหาให้ประชาชน

วันนี้ถ้าพรรคภูมิใจไทยลาออก เท่ากับทิ้งปัญหา ตัดช่องน้อยแต่พอตัว เพื่อเอากระแสความนิยมของคนส่วนหนึ่ง

ส่วนนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้า “อีเวนต์” ดังกล่าว ว่า ก็เห็นใจท่านนายกฯ เพราะท่านทำงานหนักและต้องแบกรับทุกปัญหา ซึ่งท่านก็พูดแล้วว่าขอให้ทุกฝ่ายอดทน

ไม่ว่าใครรวมทั้งตน จะทำงานใหญ่ก็ต้องหนักแน่น ไม่ซ้ำเติมวิกฤตและไม่โกง และขอบอกว่า พรรค ปชป.ไม่พูดมาก ตรงไปตรงมา มุ่งทำหน้าที่เต็มความสามารถ แม้ไม่ได้ทำเรื่องโควิดโดยตรง แต่เรื่องเศรษฐกิจส่วนหนึ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบทุกอย่างก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

เช่นเดียวกับพรรคเล็ก นายโกวิทย์ พวงงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท กล่าวถึงกรณีที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ยื่นข้อเรียกร้องให้กลุ่มพรรคเล็กร่วมรัฐบาล ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ว่า มองว่าเป็นเพียงความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ทำได้ แต่เชื่อว่าจะไม่เกิดผลเปลี่ยนแปลง เพราะกลุ่มพรรคเล็กในส่วนของพรรคที่มี ส.ส. 2 คนขึ้นไป จากที่ได้หารือร่วมกัน ยังคงเสียงสนับสนุนรัฐบาล

ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคพลังท้องถิ่นไท นายชัชวาลล์ คงอุดม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ระบุว่าให้ช่วยประคองรัฐบาลไปให้ได้ และอยู่ร่วมแก้ปัญหา

 

เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลประสานเสียงกันเช่นนี้ แน่นอนย่อมทำให้ พล.อ.ประยุทธ์สบายใจขึ้น

แม้ว่าปัจจุบันจะมี ส.ว. 250 เสียงสนันสนุน และมี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐเป็นแบ๊กอัพให้

แต่กระนั้น ต้องยอมรับว่า ขณะนี้รัฐบาลเผชิญ “วิกฤตศรัทธา” อย่างรุนแรง

ทำอะไรดูเหมือนจะผิดไปหมด

น้ำหนักในคำพูดของผู้นำ คือ พล.อ.ประยุทธ์ “เบา” ลงแทบทุกวัน

เมื่อสังคมไม่ฟัง ไม่เชื่อถือ ก็ยากยิ่งที่จะฟื้นศรัทธากลับมา

ขณะเดียวกัน “ฝ่ายค้าน” ก็แลเห็น “จุดอ่อน” สำคัญนี้ของรัฐบาล ก็เร่งเกมรุก

ล่าสุดพรรคร่วมฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลอย่างแน่นอน

โดยในชั้นต้นยืนยันว่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์เป็นหลัก

เพราะเป็นศูนย์รวมของปัญหาและความล้มเหลวในการแก้ปัญหาทั้งปวงของประเทศ

ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นๆ นั้น ที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านจะสรุปรายชื่อวันที่ 13 สิงหาคม และจะยื่นรายชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปราย และญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ในวันที่ 16 สิงหาคม

หลังจากนั้น ศึกซักฟอกคงระเบิดขึ้น

สถานการณ์ทางการเมืองก็ยิ่งจะร้อนแรงขึ้นอีก

 

พร้อมๆ กับที่ความเคลื่อนไหวนอกสภา ก็ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

โดยกลุ่มมวลชนต่างๆ ตอนนี้นอกจากจะชูธงขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว

ยังกดดันไปยังพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นหลักสำคัญของรัฐบาล ให้ถอนตัวออกจากรัฐบาล

ท่าทีของกลุ่มมวลชนต่อพรรคร่วมรัฐบาล นับวันก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความไม่พอใจมากขึ้น

มีการการบุกปาถุงสีแดงใส่ที่ป้ายชื่อพรรคภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ รวมถึงพรรคพลังประชารัฐด้วย

และยังไม่รู้ว่าจะยกระดับขึ้นไปอีกหรือไม่

แต่ก็สะท้อนถึงดีกรีแห่งความร้อนแรงที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ

 

ทําให้ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ระยะหลังเก็บตัว ด้วยพูดหรือทำอะไรมักถูกวิพากษ์หนักมาตลอด

ได้แจ้งผ่านนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า ในเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาล ยังคงสามารถทำงานร่วมกัน มีความเข้าใจและที่จะดำเนินการต่อ

โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ในปัจจุบันเรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น นายกฯ ยืนยันว่าจะลงมาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

ส่วน “หนังหน้าไฟ” ของทำเนียบ อย่างนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี มาช่วยเสริม ด้วยการพยายามยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังทำงานร่วมกับนายกฯ อยู่ เพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาให้กับประเทศและประชาชน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ซึ่งนายกฯ และพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้คิดถึงเรื่องทางการเมืองในขณะนี้ คิดถึงแต่เรื่องการช่วยเหลือประชาชนที่กำลังเดือดร้อนอยู่

โดยนายเสกสกลขอขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังยืนหยัดในการทำงานร่วมกับนายกฯ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ประเทศกำลังเกิดวิกฤตโควิด-19 ซึ่งแม้ว่าการแก้ไขปัญหาครั้งนี้จะเป็นเรื่องที่ยากและเหน็ดเหนื่อย แต่นายกฯ และพรรคร่วมรัฐบาลก็ได้ทำงานอย่างหนักไม่ถอย

“ในสถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ไม่มีใครมาคิดถึงแต่เรื่องการเมือง แต่หากจะมีก็น่าจะเป็นพรรคการเมืองจากฝ่ายค้านมากกว่าที่จะใช้วิกฤตประเทศเช่นนี้มาเล่นการเมือง รอยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อหาประโยชน์ใส่ตัวเอง โดยไม่สนใจประเทศจะมีปัญหาอะไร กลุ่มที่เคลื่อนไหวเรียกร้องให้พรรคร่วมถอนตัว ทั้งกลุ่มทะลุฟ้า กลุ่มไทยไม่ทน เห็นชัดแล้วว่าพรรคร่วมยืนยันไม่ถอนตัวแน่นอน จึงไม่ต้องออกมาเรียกร้องอะไรอีก และไม่ต้องหาประเด็นอื่นเพื่อที่จะมาเคลื่อนไหว เพราะนายกฯ และรัฐมนตรีทุกคนทำงานเต็มที่ ไม่ลาออก ไม่ยุบสภา และอยู่ครบเทอมอย่างแน่นอน” นายเสกสกลระบุ

 

แม้จะมีการปลุกหรือบำรุงขวัญกันอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ทางการเมืองนับต่อแต่นี้ แหลมคม

รัฐบาลที่ขาดความเชื่อมั่นจากประชาชน ยากอย่างยิ่งที่จะประคองตัวเอาไว้ได้

แม้ว่าตอนนี้พรรคร่วมรัฐบาลจะยังคงยืนหยัดกับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เมื่อสถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ และดูยากจะฟื้นคืนกลับมาได้ง่ายๆ

พรรคการเมือง นักการเมือง มีสัญชาตญาณที่จะปรับเพื่อเอาตัวรอดอย่างสูง และสามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา

แม้วันนี้ยังบอกว่าเหนียวแน่น

แต่หากพรุ่งนี้หรือในอนาคตอันใกล้ส่อเค้าว่าจะไปไม่ไหว

การกระโดดหนีเรือ ก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ

จึงไม่มีอะไรดีไปกว่า การโชว์การออกงานและโชว์ภาพความเหนียวแน่นในรัฐบาล ถือเป็นการ “ผูกมัด” กันไว้กลายๆ