ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 สิงหาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | เมนูข้อมูล |
เผยแพร่ |
เมนูข้อมูล
นายดาต้า
ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
อาจจะเป็นเพราะความเคยชินกับการใช้อำนาจ เพื่อควบคุมประเทศชาติให้อยู่ในความสงบราบคาบ ที่เรียกกันว่า “ความเรียบร้อย”
ทำให้เมื่อเห็นท่าว่าจะควบคุมข้อมูลข่าวสารที่มองมาในทางกดดันให้ต้องหาทางเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนไม่ไหว เพราะผลกระทบที่เกิดจากการระบาดรุนแรงขึ้นของโควิด-19 รุนแรงขึ้นจนเข้าขั้นวิกฤต ประชาชนติดเชื้อล้มตายจำนวนมาก
ขณะที่การป้องกัน และรักษามีปัญหาในทุกเรื่อง วัคซีนมีไม่เพียงพอ ซ้ำยี่ห้อที่จัดซื้อมาถูกประชาชนตั้งแง่รังเกียจในคุณภาพ หากเกิดป่วยขึ้นมาการรักษาพยาบาลแทบเป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีโรงพยาบาลที่เปิดรับ เว้นเสียแต่ว่าจะมีเงินมหาศาลไปโชว์ว่ามีจ่ายให้โรงพยาบาลเอกชนเห็น ต้องวิ่งวุ่นร้องหาเตียงกันระงมไปทั่ว การจัดการระบบเพื่อรองรับการระบาดที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นไปอย่างล่าช้า
ขณะที่ผู้มีอำนาจยืนยันจะอยู่ทำหน้าที่ต่อไปอย่างนี้ ไม่ว่าประชาชนจะทุกข์ร้อนสาหัสสักเพียงใดก็ตาม
รัฐบาลเลือกที่จะประกาศกฎหมายมาควบคุมข้อมูลข่าวสาร เอาผิดผู้คนที่ออกมาโวยวาย และทำให้คนอื่นๆ พลอยกลัวไปด้วย ซึ่งทำให้มีการต่อต้านกันอย่างกว้างขวาง ประชาชนแทบทุกกลุ่มไม่ยอมรับวิธีแก้แบบซ่อนปัญหาที่เป็นจริง ด้วยการบังคับไม่ให้ออกมาช่วยกันสื่อสารให้เพื่อนร่วมสังคมได้รับรู้
ไม่ว่าประกาศข้อหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฉบับนี้จะดึงดันที่จะบังคับใช้ต่อไปได้หรือไม่ก็ตาม ประเด็นการจำกัดสิทธิที่ล้นเกินโดยอำนาจรัฐได้ผลิหน่อขึ้นในความรู้สึก ในใจของประชาชนโดยทั่วแล้ว
เมื่อดูจากผลโพลที่ “สวนดุสิต” สำรวจล่าสุดว่าด้วย “ความคิดเห็นในยามวิกฤตโควิด-19” ที่ร้อยละ 91.71 เห็นว่าระบาดรุนแรง ผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น, ร้อยละ 87.35 เห็นว่าประชาชนทำมาหากินลำบาก สภาพจิตใจย่ำแย่, ร้อยละ 80.81 บอกว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน, ร้อยละ 70.72 เห็นว่าวิกฤตมาก มองไม่เห็นอนาคต, ร้อยละ 69.49 บอกว่าประชาชนออกมาแสดงความคิดเห็นกันมากขึ้น
ในโลกที่เครื่องมือการสื่อสารอยู่ในมือประชาชน แทบทุกคนสามารถนำเสนอข้อมูลและความคิดเห็นสู่สาธารณะได้อย่างอิสระและเท่าเทียม ตามความคิดความเชื่อของตัวเอง
การปิดกั้นความเดือดร้อน และความคิดความเชื่อย่อมของมวลชนเป็นการบริหารจัดการประเทศที่ท้าทายอย่างยิ่งว่าจะทำให้เกิดความยินยอมได้อย่างไร
จะข่มขู่ บังคับด้วยกำลังและอาวุธอย่างไรกับการแสดงออกที่ไม่อาชญากรรม แล้วประชาชนไม่เกิดความคิดว่าอำนาจรัฐเห็นประชาชนเป็นศัตรู
เพราะในโพลนี้เองยังมีคำถามที่ว่า “การแสดงความคิดเห็นของประชาชน ณ วันนี้เป็นอย่างไร” ซึ่งร้อยละ 79.02 บอกเป็นสิทธิประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย, ร้อยละ 68.44 บอกว่าสะท้อนการทำงานของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน, ร้อยละ 67.77 บอกว่าต้องการแนะนำแนวทางในการแก้ไขปัญหา, ร้อยละ 58.90 ชี้ว่าเป็นการระบายความอัดอั้นตันใจวิธีหนึ่ง,
ร้อยละ 56.34 บอกอาจมีผู้ไม่หวังดี สร้างกระแสให้โจมตีกัน
ท่ามกลางความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับชีวิต ทั้งด้วยการระบาดของโรค และมาตรการของรัฐที่ขาดความเข้าใจชีวิตประชาชนอย่างแท้จริง
การที่ผู้มีอำนาจ กลุ่มผู้รับใช้อำนาจ และผู้ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วย หรือเดือดร้อนก็ห่างไกลจากที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับ เพราะคนเหล่านั้นมีรายได้จากเงินเดือนที่มาจากภาษีที่เก็บจากประชาชน และเมื่อสิทธิเหนือกว่าในแทบทุกเรื่องที่จะได้รับการเยียวยา หรือแก้ไขให้ก่อนประชาชนทั่วไป เกิดช่องว่าง หรือที่เรียกว่าความเหลื่อมล้ำมากมายให้รู้สึก เมื่อยังซ้ำเติมไม่ยอมให้ประชาชนระบายความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิต และความรู้สึกนึกคิด ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งการก้าวล่วงเท่ากับท้าทายให้เกิดการต่อสู้ เพื่อต้านทานขจัดการกดข่ม
ดังนั้น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่หลายคนไม่อยากให้เกิด
การจำกัดเสรีภาพการสื่อสารของประชาชนคราวนี้ อาจจะกระตุ้นให้ถึงสภาวะสิ้นสุดความอดทนเร็วขึ้น
ซึ่งจะเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่ง หากคิดวางแผนเพื่อใช้ “ภาวะที่ประชาชนลุกขึ้นสู้” มา “ปฏิบัติการปราบปรามครั้งใหญ่” อีกครั้ง