1 ‘ประยุทธ์’ กับ 1 ประเทศ/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

1 ‘ประยุทธ์’

กับ 1 ประเทศ

 

ดูที่ทำไปสิ ช่างเป็นไปได้ ถนัดจริงๆ กับการคิดหาทางออกให้ตัวเองและพวกพ้อง

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์การบริหารจัดการวิกฤตโควิด-19 ล้มเหลวไม่เป็นท่ามาตั้งแต่ปีที่แล้ว แทนที่จะมีสปิริตเช่นผู้นำชาติอื่นๆ ซึ่งออกมาขอโทษ แสดงความรับผิด “ประยุทธ์” กลับงัดกฎหมายออกมาใช้ปิดปากดับสวิตซ์เน็ตปิดช่องทางสื่อสารให้สนิท

พอมีคนติดโควิดนอนตายข้างถนน ก็ส่งองครักษ์พิทักษ์นายออกมาเบี่ยงเบนประเด็นว่า มีคนจัดฉากนอนชักดิ้นชักงอแกล้งตายตามท้องถนน จะดำเนินคดีคนที่โพสต์ที่แชร์ ยกเอาโทษจำคุก 5 ปี โทษปรับ 1 แสน ขึ้นมาข่มขู่

แต่เห็นท่าว่างานนี้อาจจะต้อง “จับผี”!

คนติดโควิดและนอนตายข้างถนนมีอยู่จริง และมีอยู่ทั่วไปหลายเขตพื้นที่ใน กทม. ดังจะเห็นได้จากโพสต์ของคุณหมอสมิทธิ์ ศรีสนธิ์ แพทย์นิติเวช โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล ที่ยืนยันว่า “ผมบอกได้เลยที่ตายจากโควิดแบบนั้นมีเยอะจริง มีมากกว่าที่ออกข่าว แค่เขตหนึ่งที่โรงพยาบาลผมดูแลนับตั้งแต่ต้นกรกฎาคมก็มีกว่า 40

เคสนะครับที่หมอนิติเวชไปตรวจแล้วพบว่าตายจากโควิดคาบ้าน หรือตายอยู่ตามท้องถนน”

เรื่องไปกันใหญ่เมื่อประยุทธ์หูดับ “ไม่ได้ยินเสียง” กับตาบอด “ไม่เห็นภาพ” ของจริง จึงถูก “ตีความ” ว่า ข้อความและหรือภาพต่างๆ ที่โพสต์และแชร์กันเหล่านั้น “อาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว” นายกรัฐมนตรีจึงจะอาศัย “กสทช.” เป็นมือ ให้ใช้อำนาจตาม ม.29 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จัดการ “ตัดเน็ต” โดยที่ลืมไปว่า ที่ประชาชนหวาดกลัวแท้จริงนั้นคือ “กลัวประยุทธ์อยู่ยาว”

พลาดเอามากๆ แม้กระทั่งการมีหนังสือเตือน “ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย” กล่าวหาว่า “ให้ข่าวบิดเบือน” ทำเอา พล.อ.ท.นพ.อนุตตร จิตตินันทน์ ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ ถึงกับสะอึกแต่ก็อดกลั้นโพสต์ตอบอย่างสุภาพว่า

“ทุกครั้งที่เสนอเรื่องราวต้องตรวจสอบข้อมูลเสมอว่าเป็นเรื่องจริง ไม่เคยบิดเบือนข้อมูล”

 

รัฐบาลประยุทธ์กำลังเลยเถิด หลงผิด ลุแก่อำนาจ สร้างบรรยากาศเข้าสู่มุมอับ ทางตัน จนเป็นที่กังวลใจว่า ยิ่งอยู่นาน ประเทศนี้จะถอยหลัง!

รัฐบาลตื้นเขินเกินไป ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์การเมืองไทย ถ้าย้อนกลับไปทบทวนดูเหตุการณ์ในยุคที่ประยุทธ์ยังไม่โตก็จะพบว่าในทุกช่วงของเวลา “ความแตกต่างทางความคิด” เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่ต้องหลีกเลี่ยงคือ “การใช้ความรุนแรง” และ “การก่ออาชญากรรม” โดยรัฐ!

ไทยฆ่าไทยที่นำความสูญเสียให้กับไทยมากที่สุดคือ “สงคราม” ระหว่างกองทัพไทยกับกองปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย ของพรรคคอมมิวนิสต์

ความผิดพลาดนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่จัดตั้งกองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ (กอ.ปค.) เมื่อเดือนมกราคม 2508 ซึ่ง พล.อ.สายหยุด เกิดผล (อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด-สมัยนั้นยศพลตรี)ได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือ พคท.หายไปไหน ว่า “กอ.ปค.เป็นชื่อที่ผมไม่เห็นชอบมาตั้งแต่ต้น ขัดต่อหลักการสากล ซีโต้ที่ให้ความช่วยเหลือก็ไม่เห็นด้วย ตามความเข้าใจของนานาชาติ การปราบปรามคอมมิวนิสต์ก็คือปราบปรามประชาชน คอมมิวนิสต์ก็เป็นประชาชนไทยที่มีแนวคิดทางการเมืองแตกต่างเท่านั้น”

รัฐทหาร “ถนอม-ประภาส” ใช้การปราบปรามนำหน้า ฆ่าหนักทั้งในชนบทและในเมือง

“คนเห็นต่าง” จากรัฐบาลประยุทธ์ก็คือประชาชน

ในความเห็นของ พล.อ.สายหยุด “ไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายไปกว่าการต่อสู้ที่ผิดวิธี ต้องถามตัวเองว่า เหตุใดประชาชนจึงมีปัญหา และเหตุใดประชาชนจึงต้องจับอาวุธขึ้นมาต่อสู้”

ปัญหาคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยเป็น “บทเรียนล้ำค่า” สำหรับการอยู่ร่วมกันของ “คนคิดต่าง” ทางอุดมการณ์ ซึ่งในยุคนั้น “พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์” ถูกใช้จนเป็นปัญหา

 

มาถึงยุคนี้ “พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์” กำลังถูกทำให้กลายเป็นตัวปัญหา

ปัญหาคอมมิวนิสต์ยุติลงได้ด้วยนโยบาย 66/2523 ที่เปิดพื้นที่ให้ “ความแตกต่างทางอุดมการณ์” สามารถต่อสู้ผ่าน “ระบบรัฐสภา” เฉกเช่นเดียวกับประเทศเจริญแล้วในแถบยุโรป

แต่ระบบรัฐสภาไทยก็ไม่มีโอกาสได้พัฒนาอย่างราบรื่น ตั้งแต่ปี 2524-2534 มากไปด้วยกบฏ พอถึง 23 กุมภาพันธ์ 2534 “รสช.” ก่อรัฐประหาร แล้ววางแผนสืบทอดอำนาจกระทั่งจบลงด้วยเลือดและน้ำตาในเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ ’35” นำความอับอาย ตกต่ำมาให้กองทัพ ทหารถอยกลับเข้ากรมกอง พร้อมๆ กับในทางการเมืองได้ก่อเกิด “ม.159” แห่งรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2535 ที่บัญญัติว่า “นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”

หวังกันอย่างยิ่งว่าจะไม่มีการเคลื่อนพลรบของกองทัพ ไม่มีการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์สงครามออกมา “ยึดอำนาจรัฐ” จากพลเรือนอีกต่อไป “นายกรัฐมนตรี” มาจากการเลือกตั้งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันบริหารประเทศ “เปลี่ยนถ่ายอำนาจ” อย่างสันติตามเส้นทางเสรีประชาธิปไตย

แต่ “19 กันยายน 2549” ฝันสลาย!

“แผลเป็น” ทางการเมืองไทยรักษาไม่หาย ทหารกับกองทัพยังคงใช้ “กำลังรบ” และ “อาวุธสงคราม” สำหรับช่วงชิงอำนาจรัฐมากกว่าใช้รบกับอริราชศัตรู

ถึง 22 พฤษภาคม 2557 “กระทำผิดซ้ำ” ไม่ว่าจะผิดหรือถูก “ผู้ชนะ” ไม่เคยถูกชำระความด้วยระบบยุติธรรม การกลับมาใหม่ในรอบนี้ทำกันโจ๋งครึ่ม วางแผนสืบทอดอำนาจอย่างเป็นขั้นตอน เขียนกติกาใหม่อุกอาจถึงขั้นที่พวกเดียวกันประกาศว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา”

เมื่อ 250 ส.ว.สามารถยกมือ “โหวต” เลือกนายกรัฐมนตรีได้ นั่นก็เท่ากับว่าเปิดทางให้อดีตผู้นำรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 หรือ “หัวหน้า คสช.” สามารถกลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” ได้โดยการเสนอชื่อของพรรคการเมือง

“ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาแล้ว ตั้งใจอยู่นาน!

ถ้าให้กล่าวตามสำนวนของ “นโยบาย 66/2523” ก็ต้องว่า เวลานี้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐมีพฤติการณ์เป็น “แนวร่วมมุมกลับ” ในสมัยนั้นจะเข้าใจตรงกันว่า เป็น “เชื้อไฟ” แห่งปัญหา เป็นอุปสรรคของการพัฒนา เปลี่ยนแปลง ซึ่งในปัญหาคอมมิวนิสต์นั้นมีเงื่อนไขพื้นฐานประการเดียวเท่านั้นที่รัฐจะเอาชนะได้คือการมี “ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง”

ประชาธิปไตยที่แท้จริงจะเปลี่ยนการต่อสู้ด้วย “อาวุธ” ให้เป็น “สันติวิธี” ให้อธิปไตยเป็นของปวงชน ให้บุคคลมีเสรีภาพ จะไม่เป็นเช่นในวันนี้ที่ไล่ล่า ปิดปาก จับกุมปราบปรามคนเห็นต่าง

ในยุคสมัยประยุทธ์ “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน” มีอยู่จริง แต่ไม่เต็มบาท!

เสรีภาพบุคคลถูกคุกคาม ระบบยุติธรรมถูกทำลาย!?!!