แมลงวันในไร่ส้ม/พท. โยนหิน “สุดารัตน์” ถามทาง “ขั้วอำนาจ” ข่าวร้อน “จัดทัพการเมือง”

แมลงวันในไร่ส้ม

พท. โยนหิน “สุดารัตน์” ถามทาง “ขั้วอำนาจ” ข่าวร้อน “จัดทัพการเมือง”

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นำคณะ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินทางเยือนจีน เป็นเวลา 5 วัน ตามคำเชิญของกระทรวงวิเทศสัมพันธ์ (IDCPC) พรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน

เจ๊หน่อย หรือคุณหญิงสุดารัตน์ เผยกับสื่อในภายหลังว่า ไปดูงานนครปักกิ่งเป็นเวลา 5 วัน หลังจากที่ได้ขอเลื่อนตั้งแต่ปีที่แล้ว

พรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดให้ประชุมกับประธานของ AIIB หรือธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและหารือเรื่องแนวทางและนโยบายของธนาคาร AIIB ที่มีต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของไทยและภูมิภาคอาเซียน

โดยเฉพาะการร่วมมือโครงการ ONE BELT ONE ROAD ของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง

การหารือครั้งนี้ได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่าประเทศไทยควรเป็นส่วนสำคัญของโครงการนี้ เพราะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ไทยและจีนจึงควรเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาร่วมกัน เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งประเทศไทยและจีน รวมทั้งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

ในการให้สัมภาษณ์มติชน คุณหญิงสุดารัตน์เผยว่า ได้คุยกับ 3 กลุ่มใหญ่ คือ

1. รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของจีน ได้พูดคุยในเรื่องการลดขั้นตอนการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย

2. เรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตร เช่น การใช้โดรนมาควบคุมการผลิตทางการเกษตร

และ 3. ได้ไปเสนอแนวคิดว่าประเทศไทยควรเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารที่ปลอดภัย มีคุณภาพ ส่งขายทั่วโลกได้ โดยเฉพาะอาหารออร์แกนิก ซึ่งคนจีนก็มีเทรนด์ที่นิยมในอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ยังได้พูดคุยกับรัฐมนตรีวิเทศสัมพันธ์ของจีน ในการร่วมกันผลักดันเส้นทางสายไหมใหม่ระหว่างจีนกับไทยด้วย

ที่ทำให้แวดวงการเมืองจับตามอง ยังเป็นผลจากบทวิเคราะห์ในสื่อ ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นทริปที่ไม่ธรรมดา เพราะมี นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

นายพันศักดิ์ เคยเป็นประธานที่ปรึกษานโยบายให้กับนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย

มีบทบาทสำคัญในการร่างและนำเสนอนโยบายให้กับพรรค

รวมถึงเศรษฐกิจ “ทักษิโณมิก” ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญเป็นอย่างสูงในแวดวงนานาชาติมีจุดเด่นที่ “ดูอัล แทร็ก” หรือ เศรษฐกิจ 2 แนวทาง

ระดับบนยึดกุมพัฒนาการทุนนิยมเต็มที่ ระดับรากหญ้ายึดกุมความจัดเจนจากสังคมนิยมเข้ามามีส่วนร่วม

ยุคหนึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนเคยเชิญ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ไปบรรยายในโรงเรียนของพรรคให้ผู้ปฏิบัติงานพรรครับฟัง

เมื่อ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เดินทางไปจีนในระยะใกล้เคียงกับที่ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ไป จึงถูกมองเป็นพิเศษ

ในเรื่องของนายพันศักดิ์ คุณหญิงสุดารัตน์เผยในการให้สัมภาษณ์พิเศษมติชนว่า นอกจากเจรจา 3 เรื่องใหญ่กับจีนแล้ว

ยังได้พูดคุยเรื่องการขาย “ข้าวสานธรรม” อันเป็นโครงการที่คุณหญิงริเริ่มดำเนินการ

เป็นข้าวที่ผลิตโดยชาวนาที่ตั้งใจรักษาศีล 5 หรือหมู่บ้านศีล 5 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่คุณหญิงสุดารัตน์ได้ทำระหว่างการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ซึ่งทางประเทศจีนก็ให้ความสนใจที่จะสั่งซื้อข้าวสานธรรมด้วย

ส่วนนายพันศักดิ์ได้พบเพียงครึ่งวัน เพราะนายพันศักดิ์เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ประเทศจีนก่อนคณะของดิฉันจะเดินทางไป

นายพันศักดิ์ไม่ได้เป็นคนจัดการให้ดิฉันและคณะไปดูงานพบปะพูดคุยกับผู้แทนของรัฐบาลจีนแต่อย่างใด

ยืนยันว่าได้รับคำเชิญจากกระทรวงวิเทศสัมพันธ์ของจีน ซึ่งออกเป็นหนังสืออย่างเป็นทางการ ไม่ได้มีนัยยะต่อการเมืองแต่อย่างใด

ซึ่งนายพันศักดิ์เป็นคนช่วยดำเนินการโครงการข้าวสานธรรมกับดิฉันมาตลอด

ปฏิกิริยาจากในพรรค แกนนำพรรคเพื่อไทยให้ทัศนะว่า เป็นเรื่องปกติที่สมาชิกพรรคจะเคลื่อนไหวในเรื่องต่างๆ ทางพรรคเปิดกว้างอยู่แล้ว

ส่วนตำแหน่งหัวหน้าพรรค ยังเร็วเกินไปที่จะระบุในตอนนี้

เพราะในขณะนี้ ยังไม่สามารถประชุมพรรคเพื่อหารือเรื่องใดๆ ได้

ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวในทิศทางเดียวกันว่าถ้า พรรคเพื่อไทยมีโอกาสประชุมกันได้ อย่างแรกที่ต้องหารือคือทิศทางของพรรคภายใต้ข้อกำหนดใหม่ จากนั้นจึงค่อยมาดูว่าเราควรจะเลือกใครที่เหมาะสมเข้ามานำพรรค

ส่วนตัวไม่ได้เก่งทุกเรื่องและไม่มีความต้องการหรือวางเป้าหมายว่าจะต้องเดินไปสู่จุดนั้น จุดนี้ เราทำงานมามาก ทั้งร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นรากฐานของพรรคเพื่อไทย คิดว่าหากเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ก็จะทำ ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะนำพรรค เพราะยังมีผู้เหมาะสมกว่าเรามาก

วันนี้พรรคเพื่อไทยต้องเปิดใจให้กว้าง หาผู้ที่มานำพรรคหลังจากที่ได้พูดคุยกันแล้ว เราอยากให้องค์กรนี้ที่แม้จะโดนสารพัดมรสุมให้รอดไปได้ แต่ถ้าทุกคนคิดว่าตัวเองต้องมีตำแหน่งจึงจะทำงาน องค์กรคงไม่รอด ทั้งนี้ หากองค์กรรอด แม้เราจะอยู่ตรงไหนเราก็รอดไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุที่มีชื่อโดดเด่นขึ้นมา เพราะมีคอนเน็กชั่นทหารหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์เผยว่า ส่วนตัวอาจจะรู้จักกับนายทหารบางท่านบ้าง แต่ไม่เคยไปพูดคุยหรือดีลทางการเมือง

เพราะพรรคการเมืองต่างๆ ก็ต้องทำงานของตัวเอง ส่วนตัวยังมองไม่เห็นเป้าหมายว่าทำไมถึงต้องไปเชื่อมกับทหาร แต่ยอมรับว่าวันนี้เรารู้จักบ้างกับบางคน ซึ่งเป็นความรู้จักจากในอดีต

แต่การจะดีลเพื่อทำงานการเมืองในอนาคต ยืนยันว่าไม่มีเด็ดขาด และการทำงานการเมืองของเราก็ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องดีลกับทหาร

ทหารที่เข้ามาบริหารประเทศวันนี้ต้องถือว่าเป็นนักการเมืองไปแล้ว ฝ่ายใดก็แล้วแต่หากทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ส่วนที่เหลือต้องสนับสนุน แต่ถ้าทำให้ประเทศเสียหาย ส่วนที่เหลือต้องช่วยกันตรวจสอบ

ส่วนความเห็นต่อพรรค คุณหญิงสุดารัตน์ระบุว่า ต้องมีการปรับปรุงหรือปฏิรูปตัวเอง แต่จะทำอย่างไร ต้องมีการหารือพูดคุยกับคนที่ทำงานของพรรค

แต่พรรคเพื่อไทยมีจุดอ่อนคือการถูกโจมตี จึงต้องรีบปรับเปลี่ยนแก้ไข

ส่วนจุดแข็งคือ รักษาคำมั่นสัญญา ใช้นโยบายใดหาเสียง ก็มุ่งผลักดันนโยบายนั้นๆ ให้ประสบความสำเร็จเป็นผลดีต่อประชาชน เป็นพรรคที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาทั้งเศรษฐกิจและอื่นๆ ตรงนี้เป็นจุดแข็งที่คนมองเห็น จึงต้องเสริมจุดนี้ด้วย

ส่วนจะเสริมอย่างไรบ้าง คงต้องผ่านการหารือกันก่อน คุณหญิงสุดารัตน์สรุป

ในภาพรวม ปฏิกิริยาต่อบทบาทของคุณหญิงสุดารัตน์ คือมองว่า เป็นการโยนหินถามทาง

เพื่อหยั่งวัดว่าสังคมและกลุ่มอำนาจจะมีความเห็นอย่างไร

ส่วนจะ “ผ่าน” หรือไม่ ขั้นตอนนี้ น่าจะกินเวลาอีกไม่น้อย