คนหรือควาย? | คำ ผกา

คำ ผกา

วิกฤตโควิดในประเทศไทยไม่ควรจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้

ด้วยเหตุผลประการเดียวเท่านั้นคือ เราเจอการระบาดหนักหลังจากที่มีวัคซีนโควิดถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้แล้ว

และวัคซีนแม้จะผลิตได้น้อยกว่าความต้องการ แต่ไม่ได้น้อยจนถึงขั้นเป็นของหายาก และไม่ได้มีราคาแพงเสียจนประเทศที่ “ไม่ร่ำรวย” อย่างเราเข้าไม่ถึง

อย่าลืมว่า วัคซีนนั้นโดสละไม่ถึงหนึ่งพันบาท และงบประมาณสำหรับซื้อวัคซีนสักสามร้อยล้านโดสนั้นไม่มีเหลือบ่ากว่าแรงที่งบประมาณของประเทศไทยมี

ดังนั้น ฉันจึงอยากเรียกวิกฤตโควิดครั้งนี้ว่าเป็นวิกฤตที่ไม่จำเป็น และไม่ใช่วิกฤตด้วยตัวของมันเอง แต่เป็นวิกฤตอันเกิดจากการบริหารวัคซีนมากกว่า

ดังนั้น หากจะมีใครสักคนที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งทางเศรษฐกิจและชีวิตของผู้คน คนคนนั้นคือ “รัฐบาลที่นำโดยประยุทธ์” และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจไม่เข้า COVAX

สําหรับฉันการบริหารจัดการวัคซีน ไม่น่าจะมีอะไรยากหรือซับซ้อนเลย

เราอยู่กับโควิดกว่าหนึ่งปีเศษ และรู้อย่างชัดเจนว่ามันส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางสาธารณสุขและเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

ดังนั้น เมื่อมีวัคซีนออกสู่ท้องตลาด สิ่งแรกที่ทุกรัฐบาลต้องทำคือพยายามนำเข้ามาวัคซีนที่ดีที่สุด และในปริมาณที่เพียงพอต่อความจำเป็น

แน่นอนว่าในช่วงแรกวัคซีนอาจอยู่ในมือของประเทศมหาอำนาจก่อน หรือประเทศที่ร่ำรวยก่อน เราเป็นประเทศเล็กๆ อาจต้องรอคิวนานกว่าคนอื่น หรือวัคซีนที่มีอยู่อย่างจำกัดอาจถูกส่งไปยังประเทศที่มีการระบาดหนักที่สุดก่อน

ประเทศไทยที่การระบาดไม่หนัก อาจจะได้ช้ากว่าคนอื่น แต่ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขอะไรก็ตาม รัฐบาลไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ไป “เข้าคิว” ซื้อไว้ตั้งแต่วันแรกที่เขาเปิดให้ซื้อ

นอกจากจะต้องไป “เข้าคิว” ไป “มัดจำ” ไปทำสัญญาซื้อเอาไว้ โดยสามัญสำนึก ทุกคนเข้าใจดีกว่า วัคซีนนี้ไม่มีใครรู้มาก่อนว่าเมื่อใช้งานกับคนจริงๆ ในจำนวนมากจะส่งผลอย่างไร รัฐบาลไทยก็ควรจะไป “เข้าคิว” ซื้อไว้ทุกยี่ห้อที่ได้รับการ “รีวิว” ทางวิชาการ ว่าดีที่สุด สั สามหรือสี่ยี่ห้อในตัวท็อปของวัคซีน

แม้แต่อียู หรือออสเตรเลียก็มีความผิดพลาด เช่น เลือกใช้แอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนหลัก

แต่เมื่อพบผลข้างเคียงเรื่องการอุดตันของลิ่มเลือดแม้จะในอัตราที่น้อยมากๆ ก็ยกเลิก และเปลี่ยนยี่ห้อของวัคซีน ทำการ “เข้าคิว” จองซื้อล็อตใหม่ทันที

และอย่างที่บอก จะได้ช้าหรือเร็วไม่ใช่ประเด็น คือต้องไป “เข้าคิว” ลงชื่อไว้สิ ว่าจะซื้อ ไม่ใช่มาบ่นว่ารอนานๆ แต่ไม่ไปลงชื่อทำสัญญาว่าจะซื้อเสียที

ซึ่งทั้งหมดนี้รัฐบาลไทยไม่ได้ทำ

และแม้แต่การมีโรงงานผลิตวัคซีนในประเทศไทย รัฐบาลไทยก็ไม่พูดความจริงกับประชาชน มาหลอกประชาชนว่าเรามีความมั่นคงทางวัคซีนสูงสุด เราจะส่งออกวัคซีน เราจะเป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายเดียว วัคซีนจะเต็มประเทศ จะเต็มแขนคนไทย

สุดท้ายมาโป๊ะแตกจากจดหมายของแอสตร้าฯ ที่หลุดออกมาว่า เราเป็นแค่บริษัทรับจ้างผลิต ไม่มีสิทธิในวัคซีนของในโรงงานสักโดสเดียว

แถมไปตกลงแจ้งความต้องการกับเขาแค่สามล้านโดสต่อเดือนเท่านั้น

ตรงกันข้ามสิ่งที่รัฐบาลประยุทธ์ทำคือเดินหน้าสั่งซิโนแวคเข้ามามากกว่าวัคซีนตัวอื่น ด้วยข้ออ้างว่า เขาดีเหลือเกิน สั่งเท่าไหร่ก็ได้หมด แถมยังได้ทันที

แต่ไม่เคยมีคำตอบว่า ขั้นตอนการสั่งวัคซีนยี่ห้ออื่นไปถึงไหน อย่างไร ทำไมช้าเหลือเกิน ไปติดที่อัยการสูงสุดบ้าง ติดที่ อย.บ้าง ซึ่งอัยการสูงสุดตอนหลังก็บอกว่าไม่จริง

ทีนี้อย่างเลวที่สุดกับ “ปริมาณ” วัคซีนที่มีอยู่ รัฐบาลนี้ก็ทำให้ทุกอย่างอลเวง ด้วยการไม่มีแผนการกระจายวัคซีนที่เข้าใจ “ได้” และโปร่งใส

ฉันขอตั้งคำถามง่ายๆ ว่า ถ้าเพียงแค่รัฐบาลทุ่มสั่งไฟเซอร์กับโมเดอร์นามาสักสองร้อยล้านโดสมาตั้งแต่แรก เราจะมีปัญหาอย่างที่เราเจอทุกวันนี้ไหม? ต่อให้สองร้อยล้านโดสนี้มาไม่พร้อมกัน แต่เรามั่นใจว่ามันมีและมันจะมาแน่ๆ จากนั้นรัฐบาลก็แบ่งแผนการกระจายวัคซีนออกเป็นสามส่วนคือ

หนึ่ง บุคลากรด่านหน้า ผู้มีความเสี่ยง ซึ่งหมายถึงหมอยันสัปเหร่อ

สอง พวก 7 กลุ่มโรคเสี่ยง

สาม ประชาชนทั่วไป

วัคซีนล็อตแรก ไปที่สองกลุ่มแรกก่อน ส่วนประชาชนทั่วไปทยอยฉีดเรียงตามอายุ ปี พ.ศ.เกิด มาเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้นตามคิวไปเรื่อยๆ ไม่มีการลัดคิว ใช้เส้นใดๆ ทั้งสิ้น

คำถามของฉันคือ วิธีมันง่ายกว่ามาก ทำไมไม่เลือกทำ?

ถ้าวัคซีนมีคุณภาพเดียวกัน และมีเพียงพอ จะเป็น VVIP หรือจะเป็นคนชายขอบที่สุดๆๆๆๆ ของสังคมก็จะได้รับวัคซีนไปตามระบบโลจิสติกส์นี้ และรัฐบาลจะไม่ถูกโจมตี หรือตั้งคำถามอะไรเลย มองอีกแงหนึ่ง VVIP ก็ไม่ต้องเที่ยวไปใช้เส้น หรือ VVIP เพื่อให้ได้มาซึ่งวัคซีน ข้อครหานินทาต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น

เอางี้นะ นี่มันวัคซีนโดสละหกร้อย ไม่ใช่ไข่พญานาค ไม่แม้แต่จะเป็นเห็ดทรัฟเฟิลแท้หายาก จะได้มีคุณสมบัติเป็นของสงวนให้ VVIP

การจัดการแบบนี้ง่ายที่สุดแต่ไม่ทำ เพราะอะไร?

ฉันไม่รู้ ไม่มีข้อมูล ไม่มีหลักฐานว่าเป็นเพราะการคอร์รัปชั่นหรือการกินหัวคิวอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าจะมีเหตุผลอะไรที่อยู่เบื้องหลังการบริหารวัคซีนอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนนี้ ฉันก็คิดว่า มันเป็นเพราะวัฒนธรรมการเมืองแบบเผด็จการกึ่งศักดินาต้องการสำแดงระบบวรรณะ ผ่านโรคระบาดและวัคซีนให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนไทย

วรรณะของวัคซีนในไทย เรียงมาตามลำดับดังนี้

ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม แอสตร้าฯ ไฟเซอร์ โมเดอร์นา

การได้ฉีดวัคซีนในประเทศไทยกลายเป็นเรื่องสามารถเอามาโพสต์ “อวด” กันได้ และเป็นการสำแดงวรรณะนั้นผ่านวัคซีนไปในตัว เช่น

วรรณะสูง ได้วัคซีนก่อนคนอื่นผ่านการใช้เส้น

วรรณะสูงไปอีก บินไปฉีดไฟเซอร์ที่อเมริกาและถ่ายรูปการใช้ชีวิตที่นิวยอร์กสวยๆ

วรรณะสูงปานกลาง ได้แอสตร้าฯ ผ่านหน่วยงานอย่างการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย

วรรณะสูงสุดๆ ไฮโซสุด ตอนนี้คือได้ไฟเซอร์ที่อเมริกามาและควรเป็นของบุคลากรทางการแพทย์ ผ่านการใช้เส้น โพสต์ลงโซเชียล เพื่ออวดว่าฉันมีเส้น

วรรณะไม่สูงแต่มีเงิน พยายามตะเกียกตะกายช่วยตัวเองด้วยการไปลงทะเบียนจองกับโรงพยาบาลเอกชน ที่ลุ้นรายชั่วโมงว่าจะถูกเทหรือไม่ และอาจถูก “คนมีเส้น” ปาดหน้าไปเมื่อไหร่ก็ได้

วรรณะต่ำสุด คือชาวบ้านร้านช่องไปนั่งรอนอนรอ ต่อแถวฉีด หอบพ่อ-แม่แก่เฒ่าจากต่างจังหวัดมาตามศูนย์ฉีดวัคซีนที่ให้วอล์กอิน จนเป็นภาพน่าอเนจอนาถน่าเวทนา

วรรณะต่ำกว่านั้นคือคนที่เฝ้ากดลงทะเบียนเช้ายันค่ำแต่ลงทะเบียนไม่สำเร็จ

วรรณะต่ำกว่านั้นอีกคือคนที่ถูกเกณฑ์ไปฉีดแบบมัดมือชก เช่น คนแก่ต่างจังหวัดที่คิดว่าตัวเองจะได้แอสตร้าฯ ไปถึงได้ซิโนแวค ไปจนถึงภาวะมัดมือชกให้เจอวัคซีนไขว้

ที่น่าอเนจอนาถกว่านั้นคือ ความน่าเวทนานี้ทำให้เรามีไฟเซอร์ที่อเมริกาบริจาคให้เรา แต่แม้กระทั่งวัคซีนบริจาคก็ยังถูกนำมาบริหารบนหลักการ “วรรณะ” มากกว่าหลักการ “ความจำเป็น”

ดังเห็นได้จากข้อยกเว้นของบุคลากรทางการแพทย์ที่ “ไม่มีสิทธิ์” จะได้ไฟเซอร์ แถมยังมีตัวเลขน่าสงสัย เช่น “เพื่อการวิจัย”

ประเทศไทยได้เข้าไปสู่การเป็น “รัฐก่อนสมัยใหม่” อย่างเต็มรูปแบบที่อัตลักษณ์ของคนในสังคมถูกกำหนดจาก “คนที่เราไปสัมพันธ์” เช่น ประโยคว่า “รู้ไหมกูลูกใคร” ก็กลายเป็นประโยคที่ศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง

ประเทศของเราได้เดินมาไกลจนมาถึงจุดที่มีเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องมี “เส้น” ด้วย และหลายครั้ง “เงิน” ก็นำมาซึ่ง “เส้นสาย”

มีเงินซื้อวัคซีนอย่างเดียวไม่พอ เพราะไม่รู้ว่าเราจะโดนคนมีเส้นปาดของเราไปเมื่อไหร่

ดังนั้น ต่อไปนี้คนไทยจะมีชีวิตอยู่ไม่ใช่แค่เพื่อหาเงินให้ได้มากที่สุดตามกลไกลทุนนิยม แต่มีชีวิตเพื่อสะสม “เส้น” ให้แกร่งที่สุด

และนี่คือวิธีที่รัฐโบราณใช้ในการปกครองคนให้ศิโรราบต่อตนเอง

คนคนนั้นจะเป็นคนที่เข่นฆ่าคนอื่น จะอำมหิต หรือโสมมมูมมามโกงกินหน้าด้านแค่ไหน ไม่สำคัญ ถ้าเขาทำให้เรามี “เส้น” เราจะไปทอดกายศิโรราบรับใช้

ต่อให้เราเป็นอภิมหาอาจารย์ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ แพทย์หญิง อะไรมาก็ตามแต่ เราพร้อมทอดกายรับใช้คนโสมม ถ้าเขาคือที่มาของ “เส้น” ซึ่งสำคัญกว่า “เงิน” และเป็นที่มาของ “เงิน” ในรัฐโบราณเยี่ยงนี้

เขาไม่ได้ทำเรื่องง่ายให้ยากเพราะโง่ แต่เขาทำให้ทุกอย่างมันยากเพื่อคงไว้ซึ่งระบบที่คนต้องศิโรราบต่อ “เส้น” และมีมนุษย์คนอื่นที่เหลืออยู่เป็นเพียงแรงงานทาสรับใช้เหมือนมีวัว-ควายไว้ไถนา

ก็เท่านั้น