เชิงบันไดทำเนียบ : เช็กท่าที “บิ๊กบี้” ขุนพล “ทหารคอแดง” ผองเพื่อน “อำนวยศิลป์” สยบลือ “รัฐประหาร”

“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ออกมาสยบข่าว “ถอดใจ” หลังสื่อส่งคำถามไป ทั้งเรื่อง “ลาออก-ยุบสภา-ถอดใจ” โดยคำถามถูกถามโดยทีมสำนักโฆษกด้วยคำว่า “ถอดใจ” ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบกลับมาว่า “ยังไม่ใช่เวลาหรอก วันนี้ทำงานหนักทุกวัน หลายคนก็บอกว่าทำงานหนัก แล้วไม่เห็นได้งาน ก็ขอไปหาให้เจอว่า มีงานอะไรที่ออกมาแล้วบ้าง ซึ่งคิดว่าผมก็พยายามทำอย่างที่สุดแล้ว ด้วยการฟังเสียงประชาชน”
.
ซึ่งมีประโยคที่ทำให้ต้องคิดต่อ คือ “ยังไม่ใช่เวลา” นี้หมายถึงอะไรกัน เพราะกระแสข่าวที่มาก่อนหน้านี้ คือ พล.อ.ประยุทธ์ อาจ “วางมือทางการเมือง” ในปี65 เพื่อส่งต่อยัง “ทายาททางการเมือง” ของ “3ป.บูรพาพยัคฆ์”

เพราะมีความเชื่อกันว่าเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ วางมือ ทั้ง “ป.ป้อม-ป.ป๊อก” ก็จะวางมือเช่นกัน ส่วนจะไปทำ “การเมืองหลังม่าน” หรือไม่นั้น ในกรณี พล.อ.ประวิตร คงหนีไม่พ้น “พรรคพลังประชารัฐ” ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ ต้องจับตาดูต่อไป โดยเฉพาะการปูทางทำ “พรรคสำรอง” ของ “ปลัดฉิ่ง-ฉัตรชัย พรหมเลิศ” ปลัดมหาดไทย ที่จะเกษียณฯก.ย.นี้ และอีกหนึ่งใน “ทายาท 3ป.” ในเวลานี้ คือ “ผู้กองมนัส”ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการ พปชร. ที่ขยายฐานการเมืองไปในหลายภาค รวมทั้งแผ่บารมีไปทั่ว พปชร. ถือเป็น “คีย์แมนสำคัญ” ของ “3ป.” ในการเดินเกมทางการเมือง
.
แต่ก็มีรายงานมาว่า ในปี64 ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมือง เพราะสถานการณ์ของรัฐบาลยังต้องสู้กับโควิด รวมทั้ง “พรรคร่วมรัฐบาล” ก็ยังไม่มีท่าที “ถอนตัว” ตามแรงกดดันของผู้ชุมนุมและพรรคฝ่ายค้าน ดังนั้นจึงต้องจับตาการเมืองปี65 รวมทั้งต้องดู “สถานการณ์” ในขณะนั้นว่า “สุกงอม” เพียงใด และฝั่งรัฐบาลได้เปรียบมากน้อยอย่างไร เพราะการ “ยุบสภา” ถือเป็น “อำนาจ” ของ นายกฯ ที่จะใช้ “ฝ่าทางตัน” ทางการเมือง แต่สถานการณ์ทางการเมืองวันนี้ถือว่ามาไกล ด้วยข้อเรียกร้องที่ “ทะลุเพดาน” จึงมีการมองว่าถึง “เปลี่ยนนายกฯ” ก็ไม่จบง่ายๆ
.
แต่การเปลี่ยนนายกฯ ก็จะเป็นเพียงการ “ลดอุณหภูมิชั่วคราว” เท่านั้น ดังนั้นสภาวะบ้านเมืองเช่นนี้ จะยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลาง “ห้วงเวลาแห่งข่าวลือ” ที่มาไวไปไว นับตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่มีการปูดข่าว่า “บิ๊กตู่” เตรียมอำลา ครม. รวมทั้งการปลุกกระแสเรื่อง “นายกฯพระราชทาน” ขึ้นมา ต่อเนื่องมาถึงการเขียนพล็อตเรื่อง “รัฐประหาร” แชร์ว่อนไลน์-เฟซบุ๊ก ทำให้ “บิ๊กบี้”พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้แท้ ผบ.ทบ. ที่ถูกพาดพิงสั่ง ทหารพระธรรมนูญ ทบ. ให้ไปแจ้งความผู้เผยแพร่ข้อความเท็จ โดย พล.ท.สันติพงษ์ ธรรมปิยะ เพื่อนร่วมรุ่น ตท.22-จปร.33 ในฐานะโฆษก ทบ. ต้องมาแถลงข่าวกลางดึกเพื่อสยบกระแสข่าวทั้งหมด ซึ่งในข่าวที่แชร์นั้นมีข้อความที่โยงไปถึง “บิ๊กแดง”พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ จะมาเป็น นายกฯ ด้วย
.
ทั้งนี้เวลามีกระแสข่าวเช่นนี้เกิดขึ้น จึงถูกตีความถึง “เจตนา” การปล่อยข่าวไปได้หลายทาง ในทางหนึ่งเป็นการ “ปลุกกันเอง” ของฝั่งต้านรัฐบาล เพื่อหวังผลทางการเมือง แต่อีกด้านก็ถูกมองว่าเป็นการ “เสี้ยม” ให้เกิด “ความหวาดระแวง” ระหว่าง “กองทัพ-รัฐบาล” หรือไม่ แต่การทำ รปห. ยุคนี้ ไม่เหมือนในอดีต หลัง ทบ. มีการเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ โดยเฉพาะหน่วย “ขุมกำลังปฏิวัติ” ในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ทำให้ ผบ.ทบ. ไม่มีอำนาจเด็ดขาด

ทั้งนี้เป็นที่น่าสนใจว่าช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ณรงค์พันธ์ ในฐานะ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 นำหน่วยทหาร พล.1 รอ. ได้แก่ ร.1 ทม.รอ. – ร.11 ทม.รอ. รวมทั้ง พล.ม.2 รอ. เข้ามาแก้ปัญหาโควิดในพื้นที่ กทม. เช่น การตั้งด่านตรวจหรือจุดสกัดต่างๆ ตามนโยบายของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) การให้ “หมวดการศพ” ประจำกองทหารพลาธิการกองพล มาดำเนินการเรื่องการจัดการศพผู้เสียชีวิตจากโควิด เพื่อทำพิธีฌาปนากิจในวัดต่างๆ รวมทั้งลงพื้นที่จุดตรวจต่างๆ ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ด้วยตนเอง หากดูรายชื่อหน่วยทหารดังกล่าว จะพบว่าเป็น “หน่วยนอก ทบ.” และเป็น “หน่วยทหารคอแดง” ที่ออกมาปฏิบัติภารกิจสู้กับโควิด
.
อีกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น คือ พล.1 รอ. ร่วมกับ ศิษย์เก่าอำนวยศิลป์ รุ่น 53 ทำโครงการ “มอบน้ำใจ สู้ภัยโควิด” ออกร้านบริการเครื่องดื่มกาแฟพร้อมขนม เป็นกำลังใจให้หมอ พยาบาล และ จนท.บุคลากรทางการแพทย์ ที่ สนามนิมิตบุตร ซึ่งเกี่ยงโยงกับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ เพราะเป็น อดีต ผบ.พล.1 รอ. (จบ ตท.22-จปร.33) ศิษย์เก่า ร.ร.อำนวยศิลป์ รุ่น53 ชื่อรุ่นว่า Skylab โดย พล.อ.ณรงค์พันธ์ มีชื่อเดิมสมัยเรียนอำนวยศิลป์ฯ คือ “มณเฑียร แก้วแท้” เลขประจำตัว 61847
.
ในส่วน “ผบ.เหล่าทัพ” คนอื่นๆ ก็ทำภารกิจตามที่ได้รับ “มอบหมาย” ตาม “สายบังคับบัญชา” จาก พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ รมว.กลาโหม ซึ่งช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผบ.เหล่าทัพ ต่าง “เร่งเครื่อง-แอคทีฟ” ทำงานอย่างมาก ในการช่วยรัฐบาลแก้ไขปัญหาโควิด เพราะสุดท้ายแล้วหาก “รัฐบาล” ล้ม “กองทัพ” ก็คือเป้าหมายต่อไป