ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 กรกฎาคม - 5 สิงหาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ท่าอากาศยานต่างความคิด |
เผยแพร่ |
In Books We Trust (23)
การปฏิเสธพระพุทธองค์ของสิทธารถะนั้นทำให้ผมต้องกลับไปอ่านนวนิยายเรื่องกามนิต-วาสิฏฐี อีกครั้งหนึ่ง
นวนิยายเรื่องกามนิตนั้นเคยถูกมอบหมายให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาในสมัยมัธยมต้นของผม
ข้อความเปิดเรื่องนั้นมีความงดงามทางภาษาอย่างมากเพราะผ่านการถอดความโดยเสฐียรโกเศศ และตรี นาคะประทีป ดังนี้
“ขณะพระองค์เสด็จมาใกล้เบญจคีรีนครคือราชคฤห์ เป็นเวลาจวนสิ้นทิวาวาร แดดในยามเย็นกำลังอ่อนลงสู่สมัยใกล้วิกาล ทอแสงแผ่ซ่านไปยังศาลีเกษตรแลละลิ่วเห็นเป็นทางสว่างไปทั่วประเทศสุดสายตา ดูประหนึ่งมีหัตถ์ทิพย์มาปกแผ่อำนวยสวัสดี เบื้องบนมีกลุ่มเมฆเป็นคลื่นซ้อนซับสลับกันเป็นทิวแถว ต้องแสงแดดจับเป็นสีระยับวะวับแววประหนึ่งเอาทรายทองไปโปรยปราย เลื่อนลอยลิ่วๆ เรี่ยๆ รายลงจรดขอบฟ้า ชาวนาและโคก็เมื่อยล้าด้วยตรากตรำทำงาน ต่างพากันดุ่มๆ เดินกลับเคหสถานเห็นไรๆ เงาหมู่ไม้อันโดดเดี่ยวอยู่กอเดียวก็ยืดยาวออกทุกทีๆ มีขอบปริมณฑลเป็นรัศมีแห่งสีรุ้ง อันกำแพงเชิงเทินป้อมปราการที่ล้อมกรุงรวมทั้งทวารบถทางเข้านครเล่า มองดูในขณะนั้นเห็นรูปเค้าได้ชัดถนัดแจ้งดั่งว่านิรมิตไว้ มีสุมทุมพุ่มไม้ดอกออกดกโอบอ้อมล้อมแน่นเป็นขนัด ถัดไปเป็นทิวเขาสูงตระหง่าน มีสีในเวลาตะวันยอแสงปานจะฉายเอาไว้เพื่อแข่งกับแสงสีมณีวิเศษ มีบุษยราคบัณฑวรรณและก่องแก้วโกเมนแม้รวมกันให้พ่ายแพ้ฉะนั้น”
เรื่องราวของนวนิยาย “กามนิต” นั้นแทบจะเป็นที่รู้จักกันดีโดยทั่วไป มานพหนุ่มนามกามนิตได้พบกับสตรีสาวนามวาสิฏฐี ทั้งคู่ได้ตกหลุมรักซึ่งกันและกันก่อนจะพลัดพรากจากกันในที่สุด
คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่มีต่อกามนิตนั้นคือ “…ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์” คำตรัสนี้กว่ากามนิตจะเข้าใจเขาก็หาได้มีชีวิตไม่แล้ว
ในขณะที่สิทธารถะได้พบกับพระพุทธองค์ แต่แล้วเขาก็หาได้มีความปรารถนาที่จะติดตามพระพุทธองค์ต่อไปไม่ กามนิตกลับเป็นไปในทางตรงข้าม เขาปรารถนาจะพบกับพระพุทธองค์ แต่เมื่อได้พำนักอยู่กับพระพุทธองค์ในบ้านของช่างปั้นหม้อ เขากลับไม่ล่วงรู้ว่าสมณะที่เขาสนทนาด้วยคือ “พระพุทธองค์” เขายังออกแสวงหาพระพุทธองค์ต่อไปแม้จะได้พบกับท่านแล้วก็ตาม
ความแตกต่างสองประการในข้อนี้เป็นสิ่งที่ผมตระเตรียมไว้สำหรับการทำข้อสอบวิชาภาษาไทยกลางภาค
สิทธารถะนั้นแสวงหาไม่รู้จักจบสิ้น เขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังแสวงหาสิ่งใด เขาไม่มีความพึงพอใจในสิ่งที่เขาแสวงหา
ส่วนกามนิตนั้นเต็มไปด้วยความลังเล ละเลย เขาพบในสิ่งที่เขาแสวงหาแต่เขากลับไม่ประจักษ์ในมัน
หากจะเปรียบเทียบไปในเรื่องความรัก สิทธารถะได้พบกับกมลา เขาคิดว่าความรักจะหยุดยั้งเขาได้ แต่ก็ไม่ เขาทอดทิ้งมัน ออกดุ่มเดินต่อไป
ในขณะที่กามนิตแสวงหาความรัก ได้พบแล้วก็พลัดพรากจากมันไม่มีวันสิ้นสุดอีกเช่นกัน
“บุคคลหนึ่งไม่รู้ว่าเขาต้องการสิ่งใด อีกบุคคลหนึ่งล่วงรู้ว่าเขาต้องการสิ่งใด แต่เมื่อได้สิ่งนั้นไว้แล้ว เขาก็ทำมันหลุดพรากจากมือไปเสมอ”
ชายสองคนที่น่าเศร้า มานพหนุ่มสองนายที่น่าเศร้า
ความพ้องเคียงประการเดียวที่มีในนวนิยายทั้งสองเรื่องนี้ “สิทธารถะและกามนิต-วาสิฏฐี” คือผู้แต่งนวนิยายทั้งสองเรื่องล้วนได้รับรางวัลโนเบลด้านวรรณกรรม คาร์ล แอดอล์ฟ เกลเลอโรป นักเขียนชาวเดนมาร์ก ได้รับรางวัลนี้ในปี 1917 หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ส่วนแฮร์มันน์ เฮสเส นักเขียนชาวสวิตเซอร์แลนด์ นั้นได้รับรางวัลนี้ในปี 1945 ช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สองเสร็จสิ้นลง
นวนิยายเรื่องกามนิตนั้นเขียนขึ้นในปี 1906 ส่วนสิทธารถะนั้นเขียนขึ้นในปี 1922 หลังนวนิยายเรื่องกามนิตเป็นเวลา 16 ปี
โน้ตย่อเหล่านี้ถูกวงด้วยปากกาสีแดงในสมุดจดคำบรรยายของผม ในการตอบข้อสอบแบบอัตนัย เรามีเสรีภาพที่จะเขียนคำตอบและเหตุผลสรุปคำตอบได้นานา กระนั้นมันต้องมีประเด็นที่น่าสนใจในคำตอบที่ว่าด้วย ผมต้องแสดงให้อาจารย์ฐิติรัตน์ผู้สอนเห็นให้ได้ว่าเพราะเหตุใดสิทธารถะจึงทอดทิ้งพระพุทธเจ้า และเพราะเหตุใดสิทธารถะจึงกลับเลือก “วาสุเทพ” ชายพายเรือผู้ต่ำต้อยเป็น “ครู” ของเขาแทน
ผมจมอยู่กับประเด็นปัญหาที่ว่านี้นานนับสัปดาห์ การ “ศิโรราบ” ต่อใครบางคนในฐานะครูดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อนเพียงใดนัก
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว มันกลับแทบจะเป็นจุดสำคัญสูงสุดจุดหนึ่งของการศึกษา
สิทธารถะย่อมไม่ได้เรียนรู้การพายเรือโดยแน่ ดังนั้น สิ่งที่วาสุเทพสอนย่อมไม่ใช่การพายเรือ ประโยคสำคัญที่วาสุเทพกล่าวต่อสิทธารถะไม่ใช่เรื่องของการพายเรือหากแต่เป็นเรื่องราวของการฟัง วาสุเทพ “ฟัง” เสียงของแม่น้ำนับวัน นับปี จนแม่น้ำเป็นส่วนหนึ่งในตัวของเขา
การหมกมุ่นกับการ “ฟัง” ของสิทธารถะทำให้ผมหวนนึกถึงการหมกมุ่นอยู่กับการ “บิน” ของโจนาธาน นางนวล ในนวนิยายเรื่องโจนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล การบินไม่ลดละของนกตัวหนึ่งช่างมีความพ้องเคียงเหลือเกินกับการแสงหาของพราหมณ์หนุ่ม เรื่องราวระหว่างเจียง ครูของโจนาธาน กับวาสุเทพ ครูของสิทธารถะ แทบไม่แตกต่างกัน
ผมหยิบอ่านเรื่องราวของโจนาธานอีกครั้ง เป็นการอ่านอีกครั้งในรอบหลายปี เป็นการอ่านที่มีพื้นฐานจากเรื่องราวของสิทธารถะนั่นเอง
ในวันสอบ ผมเขียนทุกอย่างจากบันทึกข้อความเหล่านั้น ผมอธิบายถึงความคิดของตนเองว่ามนุษย์มีหนทางเรียนรู้หรือเข้าสู่ความจริงได้นานา พุทธสาวกอาจเข้าสู่ความจริงได้ตามคำสอนของพระพุทธองค์ เช่นเดียวกันกับการที่สิทธารถะเข้าสู่ความจริงได้ผ่านทางการฟังที่ได้รับการอบรมโดยวาสุเทพ และโจนาธาน นกนางนวลตัวหนึ่งเข้าสู่ความจริงได้ผ่านทางการบินโดนมีเจียง นกนางนวลอีกตัวหนึ่งเป็นครู การเข้าถึงความจริงนั้นมีหนทางมากมาย แต่ในที่สุดแล้วความจริงมีเพียง “หนึ่งเดียว”
ผมออกจากห้องสอบเป็นคนท้ายๆ นักศึกษาที่สอบเสร็จทุกวิชาบางคนตะโกนนัดหมายเพื่อนฝูงให้ไปกินอาหารร่วมกัน บางคนมุ่งหน้าไปสถานีโดยสารเพื่อเดินทางกลับต่างจังหวัด อาทิตย์หน้ามหาวิทยาลัยจะปิดการเรียนการสอนเป็นเวลาสิบวัน
ผมนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งหน้าคณะ ชีวิตนักศึกษาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าตามสบาย กางเกงขายาวแทนที่กางเกงขาสั้นกลายมาเป็นเครื่องแต่งกายของผมได้หลายเดือนแล้ว
แต่กระนั้น หนทางก่อนจะสำเร็จการศึกษายังดูอยู่ห่างอีกไกลนัก
แทนการตรงกลับบ้านเช่นเคย ผมหอบหนังสือที่ใช้อ่านเตรียมสอบทั้งหมดไปที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ผมคืนหนังสือดังกล่าวให้กับบรรณารักษ์ เสียงประทับตราบนหนังสือดังก้องไปทั่วโถงชั้นล่างสลับกับเสียงลิฟต์ขนหนังสือขนาดเล็กที่ขึ้น-ลงไม่หยุดหย่อน หนังสือจำนวนมากถูกคืนกลับสู่ที่ทางของมัน เลขประจำตัวตรงสันปกของมันพามันกลับไปสู่ที่มันจากมา
ผมเดินขึ้นบันไดอาคารห้องสมุดทีละขั้น ขึ้นไปยังชั้นบนสุดของอาคารที่เก็บรวมรวมหนังสือในภาษาต่างประเทศ แสงแดดยามบ่ายลอดหน้าต่างกระจกเข้ามาจนทำให้ทั้งห้องสว่างไสว กลิ่นน้ำยาฆ่าแมลงเจือบางเบาในอากาศ
ผมเลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งกลางห้องเป็นที่นั่งและนั่งลงมองชั้นหนังสือรอบๆ
หนังสือต่างๆ ในโลกนี้เป็นสิ่งลี้ลับประการหนึ่ง ผมหวนนึกถึงหนังสือเจ้าชายน้อยที่ทำให้ผมเข้าใจในหนังสือโจนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล
ผมหวนนึกถึงหนังสือโจนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล ที่ทำให้ผมเข้าใจหนังสือสิทธารถะ
และผมหวนนึกถึงหนังสือสิทธารถะที่ทำให้ผมเข้าใจหนังสือกามนิตและวาสิฏฐี
หนังสือแต่ละเล่มล้วนซ่อนความลับของหนังสือเล่มอื่นไว้ในตัวมัน
หนังสือแต่ละเล่มเติบโตไปพร้อมๆ กับเรา หนังสือแต่ละเล่มแก่ชราไปพร้อมๆ กับเรา
หนังสือแต่ละเล่มแม้จะถูกทิ้งร้างในวันที่ไม่มีใครมาเยือนห้องสมุดหรือสถานที่กักเก็บของมัน กระนั้นมันก็ไม่เคยหยุดยั้งที่จะมีชีวิตต่อไป
หนังสือแต่ละเล่มเป็นดังสิ่งมีชีวิตที่เชื่อมโยงซึ่งกันไม่สุดสิ้น
หนังสือแต่ละเล่มเป็นสิ่งมีชีวิตที่แบ่งปันลมหายใจซึ่งกันและกัน
หนังสือช่างเป็นสิ่งลี้ลับเหลือเกินสิ่งหนึ่งในโลกนี้