ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 กรกฎาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | เงาเกาหลี |
เผยแพร่ |
กระแสความดังของซงจุงกิ ทำให้ติ่งเกาหลีหลายๆ คนต้องหาหนังหรือซีรี่ส์ของซงจุงกิมาดูเพิ่ม
ได้หนังเรื่อง A Werewolf Boy หนังปี 2012 ซึ่งพระเอกซงจุงกิยังเป็นหนุ่มน้อย Werewolf Boy ซึ่งเขารับแสดงเรื่องนี้เพราะชื่อเรื่อง คือถ้าพ้นจากวัยนี้ไปแล้ว เขาคงไม่ใช่หนุ่มน้อยหรือ Boy แล้ว
หนังเล่าเรื่องย้อนจากปัจจุบันไปสู่อดีต
ซูนยีซึ่งเป็นคุณย่าเล่าให้หลานสาวฟังถึงเรื่องราวในอดีตที่เธอได้เจอกับชอลซู (ซงจุงกิ) ชายหนุ่มผู้มีพฤติกรรมเหมือนหมาป่า
เป็นการเล่าเรื่องราวความหลังสมัยที่ซูนยียังเป็นเด็กสาววัย 16-17 ปี ช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ที่บ้านป่าชนบท และเธอต้องกลับไปอีกครั้งในวัย 70 กว่า เพื่อจัดการเรื่องทรัพย์สิน
ดารานำหญิงเป็นพัคโบยอง นักแสดงฝีมือดีจาก Oh My Ghost รับบทซูนยีในวัยสาวรุ่น ซึ่งมีปัญหาสุขภาพเป็นหอบหืด แม่ (จางยองนำ) จึงย้ายครอบครัวมาอยู่ชนบท เพื่อให้ลูกสาวได้รับอากาศบริสุทธิ์ตามคำแนะนำของหมอ
ซูนยียังมีซูนจา (คิมฮยางกิ) น้องสาวน่ารักอีกคน สามคนแม่ลูกอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเคยเป็นที่ทำการทดลองสร้างมนุษย์หมาป่าในช่วงสงคราม โดยยังมีซากอุปกรณ์และห้องขังหลงเหลืออยู่
วันหนึ่ง ขณะที่แม่กำลังทำอาหาร ก็มีหนุ่มน้อยผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดหวิ่นและสกปรกรุงรัง แอบมาขโมยอาหารกิน แม่กับซูนยีแทนที่จะตกใจกลับเอาอาหารให้ เหมือนให้อาหารสัตว์ เรียกหนุ่มน้อยว่า “ชอลซู”
แม่จับชอลซูอาบน้ำ ตัดผม เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่ เลี้ยงเหมือนเป็นลูกชายคนหนึ่ง เด็กๆ ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี วิ่งเล่นกันในทุ่งหญ้าที่มีธรรมชาติสวยงามและบริสุทธิ์
หากพฤติกรรมของชอลซู ยังเหมือนสัตว์ป่า ทั้งวิธีการกินอาหารที่ต้องแย่งชิงและกินในปริมาณมาก ทำให้อาหารกระจัดกระจาย จนคนอื่นไม่ได้กิน
ซูนยีหาวิธีสอนชอลซูให้รู้จักรอ และค่อยๆ กิน รวมทั้งการฝึกพูดทีละคำ ชอลซูทำได้อย่างน่าทึ่ง เพราะในหัวใจของหนุ่มน้อยหมาป่านี้ได้รักและภักดีต่อซูนยี เสมือนหมารักเจ้าของ เมื่อเธอสั่งอะไรเขาจึงทำตามทุกอย่าง และพร้อมจะเรียนรู้
ดูเหมือนชอลซูจะเกิดจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในช่วงสงคราม ที่นำคนมาทดลองหรือนำสัตว์มาทดลอง ซึ่งบ้านที่ครอบครัวซูนยีอยู่นี้อาจเคยเป็นห้องทดลองมาก่อน และเมื่อสงครามสิ้นสุด นักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่ทั้งหลายได้ทิ้งห้องทดลองนี้ เหลือเพียงชอลซูที่อาศัยอยู่อย่างแอบๆ ซ่อนๆ และอดอยาก
จนมาพบกับครอบครัวของซูนยี
จิแท (ยูยอนซอค) ไอ้หนุ่มจากกรุงโซล ว่าที่คู่หมั้นหมายของซูนยี เทียวไล้เทียวขื่อมาหาซูนยี และอยากแต่งงานกับซูนยี เขาไม่พอใจที่ซูนยีสนใจแต่ชอลซู ทั้งอยากให้ซูนยีย้ายกลับโซล
มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้น ทำให้ชอลซูต้องแสดงพละกำลังพิเศษของมนุษย์หมาป่าที่เขาเป็น ซึ่งสร้างความหวาดหวั่นน่าสะพรึงกลัว แต่ชาวบ้านหรือคนใกล้ชิดกลับไม่หวาดกลัว เพราะพวกเขารู้ว่าชอลซูมีจิตใจที่งดงาม สิ่งที่เขาทำก็เพื่อปกป้องคนที่เขารักเท่านั้น
ซูนยีกับครอบครัวและหมาน้อยชอลซู น่าจะอยู่กันอย่างมีความสุข กับธรรมชาติอันสวยงามที่มีอากาศบริสุทธ์ และเพื่อนบ้านน่ารักที่มีความเอื้ออาทรแบบสังคมชนบท
หากจิแทชายหนุ่มคนที่ดูดี มีการศึกษา ร่ำรวย มีสถานะทางสังคม กลับมีจิตใจที่ร้ายกาจเสมือนสัตว์ร้าย ผิดกับชอลซูที่คล้ายมนุษย์หมาป่ากลับมีจิตใจที่งดงามกว่า
เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ซูนยีและครอบครัวจึงต้องทิ้งบ้านชนบทที่น่าอยู่นี้ กลับกรุงโซล ทิ้งชอลซูผู้น่าสงสารไว้ตามลำพัง โดยบอกเขาว่า “รอก่อน…”
เวลาผ่านไปกว่า 50 ปี ซูนยีแก่ลงและมีครอบครัว หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป
ความจริงใจและความหวังโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนของชอลซูมนุษย์หมาป่ายังเหมือนเดิม
ฟบอย (เกาหลี: ; อังกฤษ : A Werewolf Boy) เป็นภาพยนตร์เกาหลีใต้แนวโรแมนติกแฟนตาซี ซึ่งสาวสวย (พัคโบยอง) ได้รับการส่งตัวไปที่บ้านชนบทเนื่องด้วยสุขภาพของเธอ ซึ่งเธอได้ตีสนิทและพยายามสอนความเป็นคนเมืองให้แก่เด็กที่ดุร้ายคนหนึ่ง (ซงจุงกิ) ที่เธอได้พบตรงพื้นดิน แต่อสูรร้ายในตัวเขายังคงอยู่ ซึ่งรอคอยการปลดปล่อยออกมา
ผู้กำกับฯ โจซุงฮี ได้เขียนสคริปต์ขึ้นเป็นครั้งแรกที่วิทยาลัยศิลปะภาพยนตร์เกาหลี และสคริปต์ดังกล่าวได้เขียนใหม่หลายรอบก่อนที่จะเป็นเรื่องราวดังปัจจุบัน นี้เป็นผลงานเปิดตัวในเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของโจ เขาเคยกำกับภาพยนตร์ศิลป์ก่อนหน้านี้เรื่อง เอ็นออฟแอนิมอล และภาพยนตร์สั้นเรื่อง ดอนท์สเตปเอาท์ออฟเดอะเฮาส์
วูฟบอย ได้รับการจัดฉายรอบปฐมทัศน์ใน “คอนเทมโพรารีเวิลด์ซินีมา” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต 2012 หลังจากนั้นได้จัดฉายที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซานก่อนที่จะได้รับการเปิดตัวตามโรงภาพยนตร์ต่างๆ ณ วันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ.2012 ภาพยนตร์ชุดนี้ได้รับการไต่อันดับบ็อกซ์ออฟฟิศขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้กลายเป็นภาพยนตร์เกาหลีแนวประโลมโลกย์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล