ต่างประเทศ : บ่วงรัดคอทรัมป์?!

ในระหว่างที่กระทรวงยุติธรรมและสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกากำลังสอบสวนกรณีที่มีการกล่าวหาว่ารัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐที่มีขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมาหรือไม่ ที่เป็นผลให้ “โดนัลด์ ทรัมป์” มหาเศรษฐีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นฝ่ายคว้าชัยเหนือ “ฮิลลารี คลินตัน” คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต จนได้เป็นประธานาธิบดีสมใจ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่รัสเซียตั้งไว้ และโดยที่มี “คน” ของทรัมป์มีส่วนรู้เห็นหรือสมคบคิดกับรัสเซียด้วยหรือไม่

กรณีนี้เป็นประเด็นร้อนฉ่าที่มีการถกเถียงกันมาตั้งแต่ที่ทรัมป์ยังไม่ได้เข้าไปเหยียบทำเนียบขาวจนถึงเวลานี้

โดยที่เจ้าตัวที่เป็นศูนย์กลางของคำครหา ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่จะเชื่อมโยงตัวเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับรัสเซีย

แต่ยิ่งทรัมป์และทีมงานของทรัมป์จะออกมาปฏิเสธมากเท่าใด

ก็ดูเหมือนคำโต้แย้งเหล่านั้นจะยิ่งรัดรึงตัวเขาเองมากขึ้นเท่านั้น

เช่นเดียวกับประเด็นร้อนล่าสุดที่ นิวยอร์กไทม์ส สื่อสิ่งพิมพ์ชั้นนำของสหรัฐ เป็นผู้เปิดประเด็นออกมาเมื่อสุดสัปดาห์ก่อน

โดยอ้างข้อมูลของแหล่งข่าว 5 คน ในจำนวนนี้เป็นที่ปรึกษาในทำเนียบขาว 3 คน เปิดเผยว่า “โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์” บุตรชายคนโต วัย 39 ปีของทรัมป์ ได้พบปะพูดคุยกับ “นาตาเลีย เวเซลนิตสกายา” ทนายความหญิงชาวรัสเซียที่กล่าวอ้างว่าเธอมีข้อมูลส่วนหนึ่งจากรัฐบาลรัสเซียที่จะสร้างความเสียหายให้กับนางฮิลลารีได้ มามอบให้

โดยมี “ร็อบ โกลด์สโตน” นักประชาสัมพันธ์ชาวอังกฤษ คนที่ ทรัมป์ จูเนียร์ เรียกว่าเป็นคนรู้จักคุ้นเคยกันเป็น “คนกลาง” ที่ส่งอีเมลแนะนำและนัดหมายให้ ทรัมป์ จูเนียร์ และทนายความหญิงชาวรัสเซียผู้นี้ที่นิวยอร์กไทม์สระบุว่ามี “สายสัมพันธ์” กับรัฐบาลรัสเซีย ได้พบปะพูดคุยกันที่ตึกทรัมป์ทาวเวอร์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2016

เพียง 2 สัปดาห์ก่อนหน้าที่ทรัมป์ผู้พ่อจะได้รับการประกาศเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในการชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสู้กับฮิลลารี คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต

โดยในการพบปะพูดคุยกันครั้งนั้นมี “จาเร็ด คุชเนอร์” น้องเขยของ ทรัมป์ จูเนียร์ และ “พอล มานาฟอร์ต” ผู้จัดการทีมหาเสียงของทรัมป์ผู้พ่อ ร่วมวงสนทนาด้วย

 

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ววงการเมืองสหรัฐ

เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการยืนยันว่าคนวงในใกล้ชิดตัวทรัมป์จริงๆ ซึ่งมีสถานะเป็นถึงลูกชาย ได้พบปะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับชาวรัสเซีย

ที่อาจโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสอบสวนการกล่าวหาว่าทีมงานของทรัมป์สมคบคิดกับรัสเซียในการแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐได้

นิวยอร์กไทม์สรายงานว่าหลังจากตกเป็นข่าว ทรัมป์ จูเนียร์ ต้นตอของเรื่อง ออกมายอมรับในตอนแรกว่ามีการพบปะกับทนายความหญิงชาวรัสเซียจริง แต่เขาไม่ได้เปิดเผยว่ามีการพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกี่ยวพันกับการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐหรือไม่

เพียงแต่บอกว่ามีการคุยกันถึงเรื่องนโยบายการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมชาวรัสเซียเท่านั้น

ทว่า ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่นิวยอร์กไทม์สนำเสนอข้อมูลที่สืบพบอีก ทรัมป์ จูเนียร์ ออกมาชี้แจงผ่านแถลงการณ์ของตนเองอีกครั้ง แต่กลายเป็นเรื่องเล่าใหม่ ที่ ทรัมป์ จูเนียร์ บอกว่าเขาถูกคนที่รู้จักคุ้นเคยกันร้องขอให้พบกับทนายความชาวรัสเซียที่มีข้อมูลที่จะสร้างความเสียหายให้กับนางฮิลลารีในการหาเสียงเลือกตั้งได้

“ผู้หญิงคนนี้บอกว่าเธอมีข้อมูลว่ามีกลุ่มบุคคลที่มีสายสัมพันธ์กับรัสเซียกำลังให้การสนับสนุนทางการเงินแก่คณะกรรมการแห่งชาติพรรคเดโมแครต และสนับสนุนนางฮิลลารี”

อย่างไรก็ดี ในคำชี้แจงของ ทรัมป์ จูเนียร์ ยังอ้างว่าหลังจากได้พูดคุยกับทนายความหญิงผู้นี้ ซึ่งใช้เวลาแค่ราว 20 นาที สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้กล่าวอ้างมีแต่ความคลุมเครือ ไม่ชัดเจนและไม่เป็นเหตุเป็นผล ทำให้เขาเข้าใจชัดเจนโดยเร็วว่า “ข้อมูลของเธอไม่มีความหมายอะไร”

ก่อนที่ผู้หญิงคนนี้จะเปลี่ยนมาคุยเรื่องการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมชาวรัสเซียและรัฐบัญญัติแม็กนิตสกี ที่เป็นกฎหมายของสหรัฐซึ่งใช้ขึ้นบัญชีดำผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัสเซีย

ทรัมป์ จูเนียร์ บอกว่าจุดนี้ทำให้เขาเข้าใจชัดเจนว่าเรื่องการจะให้ข้อมูลเชิงลบเกี่ยวกับฮิลลารี เป็นเพียง “ข้ออ้าง” ที่ผู้หญิงคนนี้ใช้เพื่อจะพบปะกับเขาเท่านั้น

ทรัมป์ จูเนียร์ ยังแจกแจงว่า คุชเนอร์และมานาฟอร์ต ที่มาร่วมวงสนทนาด้วย เป็นเพราะเขาเชิญมา โดยที่ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะมีการพูดคุยเรื่องอะไร

 

ทั้งหลายทั้งปวงในเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น ทั้ง ทรัมป์ จูเนียร์ และทนายความของทรัมป์ผู้พ่อ สรุปตัดตอนว่า ทรัมป์ผู้พ่อไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ ด้วยกับหมายนัดพบที่ตึกทรัมป์ทาวเวอร์ เมื่อ 9 มิถุนายน 2016!

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ มีหลายคำถามเกิดขึ้นว่าการพบปะดังกล่าวที่ทรัมป์ทาวเวอร์ มีอะไรที่เป็นการล้ำเส้นกรอบกฎหมายหรือไม่ ในห้วงเวลาที่กำลังมีการสอบสวนเรื่องรัสเซียใช้อิทธิพลแทรกแซงกิจการภายในของสหรัฐอยู่

แบรนดอน การ์เร็ต นักนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ให้ความเห็นว่า นับจากเกิดคดีวอเตอร์เกต ก็ได้มีการออกกฎหมายห้ามรับการสนับสนุนช่วยเหลือทั้งทางตรงและทางอ้อมจากต่างชาติที่มีต่อการเลือกตั้งสหรัฐ ซึ่งการรับบริจาคเงินหรือสิ่งมีค่าใดๆ ที่หมายรวมถึง “ข้อมูล” ด้วย ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

ขณะที่ความเห็นของนักวิเคราะห์อีกรายมองว่า ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีการวางแผนหรือเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่สิ่งที่ ทรัมป์ จูเนียร์ ทำไป กำลังทำให้สถานการณ์ของทรัมป์และทีมงานยิ่งแย่ลงไปอีก

และจะเป็นบ่วงรัดตัวทรัมป์แน่นยิ่งขึ้นในกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับรัสเซีย

เพราะแม้ตามธรรมเนียมการหาเสียง การค้นหาข้อมูลจุดอ่อนของคู่แข่งฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเรื่องปกติที่ทำกัน

แต่ก็มีเส้นขีดขั้นที่จะไม่สามารถรับความช่วยเหลือหรือข้อมูลสนับสนุนจากรัฐบาลต่างชาติได้

เรื่องนี้จะกลายมาเป็น “หลักฐานที่ไร้ข้อโต้แย้ง” ผูกมัดทีมทรัมป์ยิ่งขึ้นไปอีก

หรือจะเป็นเพียงเรื่องที่ “ไม่มีอะไรในก่อไผ่” อย่างที่ ทรัมป์ จูเนียร์ ว่า คงต้องติดตาม…