ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 สิงหาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังลับแลมีอรุณรุ่ง |
ผู้เขียน | ธงทอง จันทรางศุ |
เผยแพร่ |
นี่ก็ล่วงเข้าเดือนสิงหาคม พุทธศักราช 2564 แล้ว
อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะครบหกปีบริบูรณ์ที่ผมเกษียณอายุราชการซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 กันยายน พุทธศักราช 2558
ชีวิตคนเกษียณแล้วระหว่างที่มีโรคระบาดรุนแรงอย่างนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการนั่งเสงี่ยมเจียมตัวอยู่กับบ้าน ระมัดระวังอย่าให้ตัวเองไปติดโรคติดภัยอะไรมาจนเป็นปัญหาของคนอื่นมากเข้าไปอีก
จำเลยอย่างผมยอมรับสารภาพครับว่า ช่วงนี้เลยเสพข่าวมากไปหน่อย
บางครั้งเมื่อเห็นอะไรขวางหูขวางตาก็หงุดหงิดงอแงเล็กน้อย
ถ้าใครพบเห็นผมอยู่ในอาการเช่นว่านั้นโปรดให้อภัยด้วยนะครับ
อย่างไรก็ดี เมื่อมองด้วยความเป็นธรรม ผมคิดว่าความหงุดหงิดของผมก็ประกอบด้วยเหตุด้วยผลพอสมควรเลยทีเดียว
ไม่ใช่เรื่องความหงุดหงิดส่วนตัวของผมคนเดียวเสียเมื่อไหร่ หากแต่เรื่องของความหงุดหงิดในนโยบายระดับสูงหรือการบริหารการจัดการภาครัฐที่เป็นภาพใหญ่โตรวมทั้งประเทศ ซึ่งผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ในฐานะเดียวกันกับผม เพราะฉะนั้น ไม่ต้องพูดมาก
ไม่ต้องมองตาก็รู้ใจกันทั้งนั้นอยู่แล้ว
ในฐานะคนที่เคยทำงานราชการมาตั้งแต่เป็นเด็กจนแก่ เกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่รับราชการสืบกันมาหลายชั่วคน ขออนุญาตพูดอะไรสืบความจากความหงุดหงิดของผมต่อไปอีกหน่อยได้ไหมครับ
ถ้าเราจำแนกการบริหารงานภาครัฐออกเป็นเรื่องของราชการประจำกับงานด้านการเมือง
เรื่องการเมืองนั้นก็ปล่อยนักการเมืองเขาว่ากันไป
วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องข้าราชการประจำ ซึ่งวันนี้ก็อาจจะมีคำขยายออกไปอีกหลายคำ เช่น พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือคำอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
บุคลากรของเมืองไทยประเภทนี้มีจำนวนมากโขอยู่ จำนวนรวมน่าจะไม่น้อยกว่าสองล้านคน
ในเวลาที่เกิดวิกฤตเรื่องโรคระบาดขึ้นคราวนี้ ทั้งหมอ พยาบาล บุคลากรทางสาธารณสุข และทีมงานอีกจำนวนมาก ที่ผมไม่สามารถขานชื่อได้ครบถ้วนทุกตำแหน่งได้ทำหน้าที่อย่างเต็มภาคภูมิ และเป็นที่ยกย่องชมเชยกันอยู่ทั่วไปแล้ว หลายท่านได้เสียสละแม้กระทั่งชีวิต
ผมเห็นจะไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มเติมอีก นอกจากขอแสดงความขอบคุณอีกวาระหนึ่งจากก้นบึ้งของหัวใจ
แต่ในขณะเดียวกันผมก็พบว่า บุคลากรภาครัฐจำนวนหนึ่งซึ่งแม้เป็นจำนวนน้อย ทำตัวออกไปอยู่นอกรีตนอกรอยที่ควรจะเป็น
ในฐานะข้าราชการรุ่นพี่ก็มีข้อคิดบางประการที่จะฝากไว้ให้ข้าราชการรุ่นน้อง ได้โปรดรับไว้ตรึกตรองพิจารณา
และอันที่จริงแล้ว สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ ข้าราชการผู้อยู่ในร่องในรอยก็อ่านได้ครับ รับรองว่าไม่เจ็บปวดรวดร้าวแต่ประการใด เพราะเป็นสิ่งที่ผมเชื่อมั่นและได้ทดลองปฏิบัติมาแล้วตลอดชีวิต
ปรากฏว่ายังอยู่รอดปลอดภัย ไม่มีอาการข้างเคียง ประเภทลิ่มเลือดอุดตันหรือแขนขาอ่อนแรงแต่ประการใด ฮา!
ข้อแรก สิ่งที่ข้าราชการประจำทุกคนควรต้องมีประจำตัวประจำใจอยู่เสมอ คือความรู้ความสามารถที่เพียงพอสำหรับทำงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ ความรู้ความสามารถเหล่านี้มีครั้งเดียวตอนแรกเข้าทำงานยังไม่พอ แต่ผมคิดว่าเจ้าตัวเองต้องขวนขวายที่จะหาเพิ่มเติมอยู่เสมอ อย่าไปคิดว่าความรู้ที่เรามีอยู่เพียงพอแล้วจะใช้งานไปตลอดชีวิต
ตราบใดที่โลกหมุนไปข้างหน้า เรื่องใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นเสมอ ดูตัวอย่างจากการจัดการกับปัญหาโรคระบาดคราวนี้เป็นตัวอย่างก็ได้ Covax คืออะไร ไม่รู้ไม่ได้แล้วนะครับ
กล่าวโดยเฉพาะให้ใกล้ตัวผมเข้ามาหน่อย สำหรับบุคลากรที่ทำงานอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องมีความรู้ทางด้านกฎหมายให้แม่นยำ
ต้องเข้าใจว่าความมุ่งหมายของการใช้กฎหมายต้องมีความยุติธรรมเป็นที่หมายปลายทาง
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับกุมกล่าวหาใครก็ตามว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2) ซึ่งห้ามมิให้ผู้ใด
“นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน”
องค์ประกอบสำคัญของความผิดเรื่องนี้คือผู้กระทำความผิดต้องรู้ว่าข้อมูลเช่นว่านั้นเป็นเท็จเสียก่อนเป็นเบื้องต้น ถ้าขาดองค์ประกอบข้อนี้ไปแล้ว ความผิดย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้
เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้าใจว่า การแสดงความคิดเห็นติชมด้วยความเป็นธรรมในฐานะประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ เป็นหลักสำคัญของวิถีประชาธิปไตยที่ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ลำพังเพียงกฎหมายลำดับรองฉบับใดฉบับหนึ่งย่อมไม่อาจเอื้อมที่จะไปล้มล้างหลักสำคัญที่อยู่ในกฎหมายแม่บทของชาติได้
หากเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดคนหนึ่งออกมาพูดเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปจากหลักกฎหมายในข้อนี้ น่าจะแปลได้ว่าเจ้าหน้าที่ผู้นั้นหย่อนความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกฎหมายอาญาซึ่งจำเป็นเหลือเกินสำหรับการปฎิบัติหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานผู้รักษากฎหมาย
ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วควรไปเรียนเพิ่มเติมครับ ทั้งวิชากฎหมายอาญา กฎหมายรัฐธรรมนูญ ปรัชญากฎหมาย นิติตรรกศาสตร์ และกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
เวลาพูดถึงหลักนิติรัฐหรือหลักนิติธรรม จะได้เข้าใจให้ตรงกันกับที่คนทั้งโลกเขาเข้าใจ
ไม่ใช่คิดเองเออเองอยู่คนเดียว
ถ้าไม่มีเงินเสียค่าหน่วยกิต มานั่งคุยกันที่บ้านผมก็ได้ครับ ผมสอนให้ฟรีไม่คิดเงิน
ข้อสองซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน คือการวางตนอยู่ในฐานะข้าราชการประจำที่เป็นหลักพึ่งได้ของประชาชน
จริงอยู่ครับ ที่ว่าข้าราชการประจำต้องทำงานร่วมกันกับข้าราชการฝ่ายการเมืองซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในระดับนโยบาย ตามกลไกที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญและระบบกฎหมายของประเทศ
การทำงานร่วมกันตรงนี้มิใช่ว่าเราจะต้องตามใจฝ่ายการเมืองตะพึดตะพือ แม้ในบางครั้งเราจะต้องปฏิบัติตามนโยบายของฝ่ายการเมืองที่เราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม
หลักสำคัญที่จะเป็นเกราะคุ้มครองการทำงานของเราให้อยู่รอดปลอดภัยจากภัยพาลทั้งหลาย คือ ความซื่อสัตย์สุจริตหนึ่ง ความยึดมั่นในกฎหมายหนึ่ง และความตั้งใจมั่นที่จะไม่กลั่นแกล้งรังแกใครอีกหนึ่ง
เมื่อเกือบสิบปีมาแล้ว ผมเคยบรรยายในที่ประชุมข้าราชการรุ่นลูกศิษย์ ในหลักสูตรนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) รุ่นที่ 6 เมื่อเดือนกันยายน พุทธศักราช 2555 ว่า
“สำหรับผม ผมถือสายกลาง คือหมายความว่า คนเราควรจะมักใหญ่ใฝ่สูงในทางที่ถูกนะ ไม่ควรมักน้อยและใฝ่ต่ำ (นปร.หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามักใหญ่ใฝ่สูงด้วยการไปถีบหัวคนอื่น แล้วก็ทำอะไรที่ไม่ชอบธรรม ทำอะไรที่มันประหลาดพิสดาร ไปวิ่งเต้นติดสินบาทคาดสินบน ไปสัญญาอะไรที่นอกลู่นอกรอย…”
ในฐานะที่ช่วงหนึ่งของชีวิตผมเคยรับราชการในตำแหน่งระดับสูงต่อเนื่องกันถึงสิบกว่าปีในสามกระทรวง แน่นอนครับว่าผมต้องทำงานร่วมกันกับข้าราชการฝ่ายการเมืองหลายตำแหน่ง ทั้งในระดับรัฐมนตรีและในระดับที่รองลงไปจากนั้น
สิ่งที่ผมบอกตัวเองอยู่เป็นนิจ คือผมเป็นข้าราชการประจำ ฝ่ายการเมืองมีความรับผิดชอบในระดับนโยบาย ที่ต้องรับผิดชอบต่อสภาและต่อสังคมตามระบอบประชาธิปไตย
ในฐานะที่ผมเป็นข้าราชการประจำ ผมมีหน้าที่ต้องให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ รวมถึงความคิดความเห็นที่ให้อย่างเต็มที่ตามหลักวิชา
ผมไม่เคยรับปากและไม่เคยคิดจะรับปากฝ่ายการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคใดก็ตามที่จะใช้กฎหมายไปเป็นเครื่องมือในทางที่ไม่ชอบธรรม
บ้านเมืองเรามีความไม่เป็นธรรมมากพอแล้วจากเหตุต่างๆ ขออย่าให้ความไม่เป็นธรรมนั้นได้มาจากคนที่เป็นข้าราชการเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่เป็นตำรวจ
ผมบอกกับตัวเองเสมอมาว่าผมเป็นข้าราชการ ไม่ใช่คนของพรรคการเมือง ผมเป็นมืออาชีพไม่ใช่มือสมัครเล่น และไม่คิดจะไปสมัครเล่นการเมือง
หลายปีมาแล้วตั้งแต่สมัยที่ผมเป็นเด็ก จำได้ว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเคยเขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งว่า ถ้าตำรวจหลงลืมไปว่าตัวเองเป็นใครและทำงานให้ใคร เผลอนึกว่าต้องทำงานให้กับนักการเมืองหรือฝ่ายการเมือง ขอให้ตำรวจย้อนกลับไปดูที่หน้าหมวกของตัวเอง ว่ามีตราแผ่นดินประดับอยู่ อันเป็นเครื่องหมายบอกให้รู้ว่าตำรวจนั้นเป็นผู้รักษากฎหมายของแผ่นดิน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง
เอ้า! ตำรวจทุกคนหยิบหมวกขึ้นมาดูเสียนะครับ
หวังว่าหน้าหมวกของท่านยังเป็นตราแผ่นดิน ไม่ได้เปลี่ยนเป็นตราพรรคการเมืองไปเสียแล้ว
ดูแล้วเห็นอะไร ส่งข่าวมาบอกกันบ้างนะครับ