ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 กรกฎาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
นับจากอัยการสรุปสำนวนยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558
คดีจำนำข้าวได้มาถึง “โค้งสุดท้าย”
โดยศาลฎีกาฯ กำหนดไต่สวนพยานจำเลยนัดที่ 16 ซึ่งเป็นนัดสุดท้าย วันที่ 21 กรกฎาคมนี้
ก่อนให้คู่ความสองฝ่ายทำคำแถลงปิดคดี ยื่นต่อศาลภายใน 30 วัน ตามเวลาทั่วไปในหลายคดี แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจศาลและความซับซ้อนของคดี
คาดว่าอย่างช้าไม่เกินเดือนสิงหาคม สองฝ่ายน่าจะยื่นคำแถลงปิดคดีได้เรียบร้อย
จากนั้นศาลจะใช้เวลาเขียนคำพิพากษา 7 ถึง 14 วันนับแต่ได้รับคำแถลงปิดคดี
ดังนั้น ถ้าไม่มีอะไรมาทำให้ “สะดุด” ก็มีความเป็นไปได้ว่า คดีจำนำข้าวจะรู้ผลในเดือนกันยายน
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นน่าสนใจเกิดขึ้นหลังการไต่สวนพยานจำเลยนัดที่ 15 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา
เมื่อทนายจำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งการพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ ว่า ขัดแย้งไม่เป็นไปตามมาตรา 235 วรรค 6 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 โดยขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ปรากฏว่าองค์คณะฯ รับคำร้องฝ่ายจำเลยไว้พิจารณา เพื่อมีคำสั่งอีกครั้งในการไต่สวนพยานวันที่ 21 กรกฎาคม ว่า จะส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่
แม้จะทำให้การเมืองฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสหยิบยกมาโจมตี ว่าเป็นความพยายามใช้เทคนิคทางกฎหมายในทุกรูปแบบ เพื่อ “ยืด” การตัดสินคดีออกไป
แต่ทนายความและฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยืนยันการยื่นคำร้องขอให้ตีความประเด็นดังกล่าว เป็นการทำเพื่อสิทธิและโอกาสในการต่อสู้คดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้เป็นจำเลย
และเพื่อให้คดีไร้ข้อเคลือบแคลงสงสัย ไม่ว่าในภายภาคหน้าคำตัดสินจะออกมาอย่างไร
นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืนยันการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มาตรา 5 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542
ขัดหรือแย้งกับมาตรา 235 วรรค 6 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 หรือไม่
ไม่ได้เป็นการใช้เทคนิคทางกฎหมายเพื่อประวิงเวลาหรือยื้อคดี ตามที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุ ทำให้สับสน สร้างความเสียหายให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์
แต่เป็นเพราะ
หนึ่ง ก่อนอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องคดี อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เจ้าของสำนวนยืนยันว่า รายงานการไต่สวนของ ป.ป.ช. มีพยานหลักฐานแน่นหนา ไม่ต้องไต่สวนเพิ่มเติม
ทั้งยังกล่าวตำหนิอัยการสูงสุดในขณะนั้นและเร่งรัดให้ฟ้องคดี
สอง ในชั้นพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ ได้ใช้มาตรา 5 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 ซึ่งกำหนดให้ยึดรายงานของ ป.ป.ช. เป็นหลักในการพิจารณา
และอาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร
ทำให้โจทก์อาศัยข้อกฎหมายดังกล่าวเพิ่มเติมพยานหลักฐานใหม่ ทั้งพยานบุคคล และพยานเอกสารอีกกว่า 1 แสนแผ่นเข้ามาในคดี
เกี่ยวกับรายงานผลตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐ ฉบับลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งจัดทำขึ้นใหม่หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์พ้นตำแหน่งแล้ว 7 เดือน
ทั้งยังอ้างพยานบุคคลที่ ป.ป.ช. มิได้ไต่สวนไว้เพิ่มเติมเข้ามา
ทั้งยังเพิ่มเอกสารเรื่องกล่าวหาจำเลยในคดีอื่น ที่ ป.ป.ช. ไม่ได้ไต่สวนไว้ในคดีนี้ มารวมพิจารณากับคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์
ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เสียเปรียบและได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่มีโอกาสโต้แย้งคัดค้านเอกสารที่เพิ่มเติมเข้ามาตั้งแต่ในชั้นสอบสวน
สาม ระหว่างการพิจารณาคดี รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 บัญญัติในมาตรา 235 วรรค 6 ว่า
การพิจารณาของศาลฎีกาและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้นำสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. เป็นหลักในการพิจารณา
แต่เพิ่มเติมข้อความตอนท้ายว่า “และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรรม ให้ศาลมีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้”
ซึ่งแตกต่างและขัดแย้งกับมาตรา 5 พ.ร.บ.วิธีการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 ตอนท้ายที่ระบุว่า “และอาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร”
โดยไม่มีเงื่อนไขการไต่สวนเพิ่มเติม เช่นเดียวกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญใหม่ที่บังคับใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน
จึงถือว่ากฎหมายที่ศาลใช้รับเอกสารเพิ่มเติมใหม่ของโจทก์
ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ทีมทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย มีความเห็นสอดคล้องตรงกันว่า
หลักการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยมี 2 แนวทาง คือ ต่อสู้ในปัญหาข้อเท็จจริง กับต่อสู้ในปัญหาข้อกฎหมาย ในกรณีนี้เป็นการต่อสู้ในปัญหาข้อกฎหมาย
กล่าวคือ การพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ ควรสอดคล้องตรงกับรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่เปลี่ยนไปจากมาตรา 5 ของกฎหมายที่ใช้ในขณะที่โจทก์เพิ่มเอกสารใหม่ต่อศาล
หากปล่อยให้การพิจารณาคดีเสร็จสิ้น นอกจากจะทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์หมดโอกาสและเสียสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้
ยังทำให้ไม่มีการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมาย ที่เป็นหลักประกันคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
และทำให้เรื่องที่จำเลยร้องขอและมีข้อโต้แย้งต่อกฎหมายที่ศาลฎีกาฯ ใช้พิจารณาคดีว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ได้รับการวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม ทีมทนายความและฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าประเด็นดังกล่าวจะถูกส่งต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความหรือไม่ เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลฎีกาฯ จะพิจารณา
ซึ่งจะรู้ผลคำสั่งในวันที่ 21 กรกฎาคมนี้ ว่าจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่
ถ้า “ไม่ส่ง” คดีก็จะเดินหน้าเข้าสู่ห้วงเวลาชี้ชะตา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามกำหนดที่คาดว่าน่าจะมีขึ้นภายในเดือนกันยายน
แต่ถ้า “ส่ง” กระบวนการตัดสินชี้ชะตาก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ต้องทอดเวลายาวนานออกไป
ห้วงเวลาที่ทอดยาวออกไปนี้เอง
ยังเป็นห้วงเวลาแห่งการ “ลุ้นระทึก” ไม่ว่าจะเป็นฝ่าย “กองเชียร์” หรือ “กองแช่ง” ว่า
คดีจำนำข้าวจะเกิดการ “พลิกผัน” ไปจากที่หลายคนคาดการณ์ไว้ตั้งแต่คดีขึ้นสู่ศาลเมื่อ 2 ปีก่อน
หรือไม่ อย่างไร