#CallOut คนบันเทิง ถ้าหยุดเท่ากับเรายอมแพ้ เราคือกระบอกเสียงของสังคม/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

#CallOut คนบันเทิง

ถ้าหยุดเท่ากับเรายอมแพ้

เราคือกระบอกเสียงของสังคม

ต้องยอมรับว่าในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 เหล่าคนดัง ดารา คนบันเทิง ต่างก็ออกมาแสดงจุดยืนผ่านโซเชียล แอ็กเคาต์ส่วนตัว สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยการแสดงความเห็นถึงการบริหารจัดการโควิด-19 ของรัฐบาล การจัดหาวัคซีนทางเลือกมาฉีดให้กับประชาชน ฯลฯ

ซึ่งการออกมาแสดงความเห็นของคนดัง ดารา คนบันเทิง ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า คอลเอาต์

ปัญหาที่ตามมาคือ คนในฝั่งของรัฐบาลอย่างคุณสนธิญา สวัสดี ที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนสภาผู้แทนราษฎร และอดีตผู้สมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้มีการไปยื่นหนังสือถึง พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. เพื่อให้ตั้งคณะกรรมการติดตาม กำกับดูแล ตรวจสอบกรณีการคอลเอาต์ของดารา นักร้อง และผู้มีชื่อเสียง เกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ว่าเป็นการกระทำที่ผิดต่อ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.ก.สถานการณ์การบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ หรือไม่

ในขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้มีคำสั่งจัดการเรื่องข่าวปลอม หรือ Fake News โดยเขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ระบุว่า ขณะที่เรากำลังเผชิญกับปัญหาโควิด และหน่วยงานรัฐกำลังแก้ไขสถานการณ์กันอย่างเต็มที่ แต่เรากลับต้องเผชิญกับปัญหาข่าวปลอม หรือ Fake News ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคมเป็นอย่างมาก มีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ หรือการจงใจตัดต่อบิดเบือนคำพูดเพื่อสร้างความเข้าใจผิดเป็นจำนวนมาก ทั้งจากสื่อมวลชน ผู้มีชื่อเสียง และผู้ใช้สื่อทั่วไป

“ทั้งที่ในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ผมขอเรียนให้ทราบว่า ผมให้ความสำคัญกับการจัดการข่าวปลอมที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างยิ่ง และได้สั่งการโดยตรงให้แต่ละกระทรวงดำเนินการแก้ปัญหาข่าวปลอมอย่างจริงจังและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น” ข้อความจากเฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha

 

จากกรณีดังกล่าวเกิดการถกเถียงกันเป็นวงกว้างในสังคมออนไลน์ว่า การที่คนดัง คนบันเทิง ประชาชน ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐนั้น ไปเข้าข่ายมีความผิดได้อย่างไร เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคม และมีข้อมูลอ้างอิงที่ถูกต้อง

ณภัทร ชุ่มจิตตรี หรือคิง ก่อนบ่าย ดาราตลกชื่อดัง หนึ่งในคนดังที่มีรายชื่อที่คุณสนธิญาได้ยื่นให้ตำรวจตรวจสอบ ให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่คอลเอาต์ออกไปเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชนมันไปเข้าข่ายมีความผิดได้อย่างไร เราไปสร้างความแตกแยกตรงไหน จริงๆ แล้วเราสามารถทำได้ตามสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์การทำงานต่างๆ ของรัฐได้หมด เพียงแต่เราไม่ได้ใช้ถ้อยคำที่มันรุนแรง มันหยาบคาย มันก็ไม่ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งผมมองแล้วว่ามันไม่ผิดแน่นอน ถ้าเขาบอกว่ามีคำหยาบ มีคำว่ากูคำเดียว ถ้าคำว่ากูคำเดียวสามารถทำให้เรามีความผิดได้ ต่อไปมนุษย์ทุกคน ประชาชนทุกคน จะต้องพูดครับผม เธอ ท่าน หรือ? เราไม่ได้ด่า ไม่ได้ไปสร้างความเสื่อมเสียอะไร เราเพียงบอกให้เห็นถึงปัญหา

คิง ก่อนบ่าย ย้ำว่า ต้องขอบคุณคุณสนธิญาที่ทำให้รู้ว่า เสียงของผมตอนนี้มันดังแล้ว มันเป็นพลังที่ต่อไปผมจะสามารถนำปัญหาของประชาชนมาสะท้อนให้รัฐบาลเห็นได้ ผมต้องเผชิญหน้าคอลเอาต์ต่อไป ถ้าหยุดเท่ากับว่าเรายอมแพ้กับสิ่งที่มันไม่เป็นธรรมกับเรา ยืนยันว่าไม่ได้เรียกร้องให้คนมาสร้างความวุ่นวาย เราเรียกร้องให้ภาครัฐบริหารจัดการปัญหาให้เร็ว

“ในเมื่อเขาบอกว่าเรามาคอลเอาต์อาจจะสร้างความเสียหายให้เกิดกับภาครัฐ หมายความว่าคุณคุยกับภาครัฐได้ใช่หรือไม่ ทำไมคุณไม่เอาเวลาตรงนั้นมานั่งอ่านรายละเอียดว่า ดาราต้องการสื่อสารอะไร คุณควรจะเป็นกระบอกเสียงแทนเรา เพื่อไปบอกผู้มีอำนาจให้มาแก้ไขปัญหาตอนนี้ให้ได้โดยเร็ว มันน่าจะเกิดประโยชน์กับประชาชนมากกว่าที่จะเอาเวลาไปยื่นให้ตำรวจมาฟ้องร้องดารา”

คิง ก่อนบ่าย ฝากข้อความถึงคุณสนธิญา

 

ในขณะที่เพชร-กรุณพล เทียนสุวรรณ มองกระแสการออกมาคอลเอาต์ของคนดัง ดารา คนบันเทิงที่กลายเป็นปรากฏการณ์ว่า ทำให้เกิดการตื่นรู้มากขึ้นว่า ณ ปัจจุบันสังคมเรามีอะไรเกิดขึ้น แล้วมันต้องการทางแก้ไขอย่างไร แล้วก็อยากจะกระตุ้นเตือนให้คนส่วนใหญ่ได้รับรู้ แต่ถ้าคนที่ออกมาคอลเอาต์ไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียง การรับรู้ของคนมันก็น้อย เขาถึงต้องการให้คนที่มีชื่อเสียงออกมาช่วย แต่ข้อเสียมันก็คือการที่ไปกดดันด้วยวิธีการต่างๆ ถามว่ามันมีสิทธิ์ที่จะทำไหม ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะต่อว่า มีสิทธิ์ที่จะตำหนิ มีสิทธิ์ที่จะใช้วิธีการกดดันเพื่อให้ประสบผลสำเร็จของตัวเอง

ถ้าสิ่งเหล่านั้นที่เขาทำมันไม่เป็นการหมิ่นประมาท มันไม่เป็นการดูถูกเหยียดหยามหรือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายกัน มันสามารถที่จะทำได้เพราะเราเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่ว่าวิธีการมันอาจจะไม่ได้ถูกใจใครทุกคน ซึ่งตอนนี้คนที่มีชื่อเสียงก็คงเห็นแล้วว่าประเทศมันเดินไปทางไหน ถ้าเป็นไปได้และคุณเห็นว่ามันเป็นปัญหาจริงๆ คุณก็น่าจะออกมาเรียกร้องทำเพื่อคนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง

ทั้งนี้ เพชรได้ย้ำว่า การจะออกมาคอลเอาต์หรือไม่ออกมาคอลเอาต์ จำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลที่ชัดเจน มีข้อมูลที่สามารถหักล้างกันได้ แล้วลองดูว่าการที่คุณออกมามันจะทำให้สังคมดีขึ้นไหม มันจะทำให้เกิดการกระตุ้นรู้มากขึ้นไหม แน่นอนสังคมอาจจะไม่ดีภายวันนี้หรอก แต่มันสามารถที่จะขับเคลื่อนให้สังคมมองไปในทางเดียวกันในการที่จะทำให้ประเทศชาติดีขึ้น

“เสียงของคนทุกคนไม่จำเป็นว่าต้องเป็นดารา เป็นนักแสดง เป็นคนธรรมดาก็ได้ เพราะถ้าเสียงหนึ่งเสียงหันไปบอกกับคนข้างๆ ที่เขายังไม่เริ่มมีเสียง พูดให้เขาเข้าใจ แนะนำให้เขาเข้าใจ วันหนึ่งเขาก็จะไปบอกให้คนอื่นที่ไม่เข้าใจเหมือนเราเข้าใจขึ้น แล้วเสียงจากเสียงเล็กๆ เสียงเบาๆ มันก็จะกลายเป็นเสียงที่ดัง เพราะประเทศนี้ตอนนี้มันขับเคลื่อนด้วยการด่า ขับเคลื่อนด้วยการนำเสนอข้อมูลที่แตกต่าง ถกเถียงกันมันถึงได้มีการเคลื่อนไหว”

เพชร กรุณพล ย้ำถึงความสำคัญที่ทุกคนต้องออกมาคอลเอาต์

 

วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักเขียน พิธีกรชื่อดัง ได้ให้ความเห็นต่อกรณีออกมาคอลเอาต์ของดารา คนดัง คนบันเทิง ว่าเห็นด้วยกับการออกมาพูดส่งเสียง คิดว่าเรื่องการบริหารจัดการของรัฐเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่เผอิญว่าช่วงนี้มันชัดเจนว่ามันวิกฤต เลยได้เห็นดารา คนดัง หลายคนออกมาคอลเอาต์เรื่องนี้กันเยอะ แต่ว่าในภาวะที่มันไม่ได้วิกฤตขนาดนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องให้คอลเอาต์ ทั้งเรื่องที่อาจจะเกี่ยวกับรัฐ เกี่ยวกับการทำธุรกิจของเอกชน หรือแม้แต่กระทั่งเรื่องของมุมมอง วัฒธรรมของประชาชนไทยโดยรวม เรื่องสิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียมทางเพศ ฯลฯ เลยอยากให้เทรนด์นี้อยู่ระยะยาวหลังจากวิกฤตด้วย

“อยากให้คนที่เป็นกระบอกเสียงของสังคมออกมาพูดเรื่องพวกนี้ได้เป็นเรื่องปกติ โดยที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ใน Safe Zone ว่าคนเป็นดาราห้ามพูดเรื่องการเมือง ห้ามพูดเรื่องใหญ่โต แต่ว่าขณะเดียวกันไม่อยากให้หยุดอยู่ที่เรื่องการเมือง อยากให้มองการเมืองเป็นหนึ่งเรื่องในนั้น แล้วก็เป็นเรื่องที่ขยายออกไปได้อีก” วรรณสิงห์กล่าว

ในกรณีที่มีชาวเน็ตไปเรียกร้องหรือโจมตีดาราคนดังที่ยังนิ่งเฉยไม่ออกมาคอลเอาต์ วรรณสิงห์มองเรื่องนี้ว่า ถ้าเป็นตัวผมก็จะเชิญชวนว่ามาพูดกันไหม มีปัญหาตรงนี้ลองใช้พื้นที่ของตัวเองดู แต่ว่าต้องถึงขั้นไปต่อว่าเขาหรือมองเขาเป็นคนไม่ดีถ้าเขาไม่พูดผมก็คงไม่ไปถึงขั้นนั้น ถ้าคุณไม่พูดไม่เป็นไรผมพูดเอง

แต่ถ้าในมุมมองประชาชนทั่วไปที่เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้มีพื้นที่ของกระบอกเสียงเท่ากับคนที่มีชื่อเสียงบางคน แล้วอยากให้นักร้องที่เขาชอบนักร้องที่เขาอุดหนุนมาตลอดช่วยกันพูดด้วยก็เป็นเรื่องเข้าใจได้