ส่องความฝัน 3 มหาเศรษฐี กับวิถีใหม่บนอวกาศของมนุษยชาติ/บทความต่างประเทศ

บทความต่างประเทศ

 

ส่องความฝัน 3 มหาเศรษฐี

กับวิถีใหม่บนอวกาศของมนุษยชาติ

 

เจฟฟ์ เบซอส มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก และอดีตผู้ก่อตั้งบริษัทแอมะซอน ได้ขึ้นไปท่องอวกาศได้สำเร็จ ด้วยจรวดของบริษัทบลูออริจิน ซึ่งเป็นบริษัทของนายเบซอสเอง เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันครบรอบ 52 ปีของการลงจอดบนดวงจันทร์ครั้งแรกของมนุษยชาติ ด้วยยานอะพอลโล 11

การท่องเที่ยวอวกาศครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอวกาศของโลกเลยก็ว่าได้

เป็นการท่องอวกาศของเจฟฟ์ เบซอส พร้อมด้วยมาร์ก เบซอส น้องชาย, วัลลี ฟังก์ ผู้บุกเบิกการสำรวจอวกาศในวัย 82 ปี และนักศึกษาวัย 18 ปีอีกคนหนึ่ง ได้โดยสารจรวด “นิวเชพเพิร์ด” ทะยานสู่อวกาศ จากฐานปล่อยในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา

โดยปฏิบัติการท่องอวกาศครั้งนี้ จรวดนิวเชพเพิร์ด จะพุ่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และตัวแคปซูลที่จะมีกระจกหน้าต่างขนาดใหญ่ จะแยกตัวออกจากจรวด เพื่อให้ผู้ที่อยู่ด้านในแคปซูลสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์บนห้วงอวกาศได้อย่างชัดเจน

และแคปซูลจะเดินทางต่อขึ้นไปยังบริเวณ “คาร์มันไลน์” ที่ความสูงกว่าพื้นโลกราว 100 กิโลเมตร ที่ถือว่าเป็นเส้นแบ่งเขตโลกกับอวกาศ ก่อนที่แคปซูลจะเดินทางกลับสู่พื้นโลก และลงจอดด้วยร่มชูชีพอย่างปลอดภัย

ทั้งหมดใช้เวลาในการเดินทางอยู่บนอวกาศทั้งสิ้นประมาณ 10 นาที 10 วินาที

 

ขณะที่จรวดนิวเชพเพิร์ด สามารถกลับมาลงจอดบนพื้นโลกอย่างปลอดภัย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำหน้าที่ส่งคนขึ้นสู่อวกาศในครั้งต่อไป

ซึ่งการเดินทางไปเที่ยวบนอวกาศครั้งนี้ นอกจากจะสร้างประวัติศาสตร์การท่องอวกาศเป็นครั้งแรกแล้ว ยังเป็นการนำผู้สูงอากาศมากที่สุดไปสู่อวกาสคือวัลลี ฟังก์ อายุ 82 ปี และผู้ที่อายุน้อยที่สุดในโลกที่ได้ขึ้นอวกาศ คืออายุ 18 ปี

ก่อนหน้านี้ ริชาร์ด แบรนสัน นักธุรกิจมหาเศรษฐีชาวอังกฤษ ผู้ก่อตั้งบริษัทเวอร์จิน กาแล็กติก ได้ประสบความสำเร็จในการ “ทดสอบ” การท่องเที่ยวขอบอวกาศมาแล้ว เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่เป็นการเดินทางด้วยเครื่องบินจรวดของบริษัทเวอร์จิน กาแล็กติก โดยเป็นการใช้เครื่องบินลำใหญ่บินขึ้น เพื่อปล่อยเครื่องบินลำเล็กด้วยแรงผลักดันสู่อวกาศ เป็นการท่องอยู่บริเวณวงโคจรต่ำ ซึ่งเป็นระดับความสูงเหนือพื้นโลกประมาณ 86 กิโลเมตร ที่สามารถสัมผัสกับประสบการณ์ภาวะไร้น้ำหนักอยู่ได้ราว 3-4 นาที และมองเห็นเส้นความโค้งของโลกได้ ก่อนจะกลับลงจอดบนรันเวย์เหมือนกับเครื่องบินทั่วๆ ไปได้อย่างปลอดภัย

ครั้งนั้นเรียกได้ว่า แบรนสันตัดหน้าเบซอสในการขึ้นไปเที่ยวอวกาศก่อน แต่การขึ้นอวกาศของแบรนสันนั้น เบซอสได้ออกมาเกทับว่า ไม่ได้เรียกว่าเป็นการท่องเที่ยวอวกาศของจริง เพราะว่าไม่ได้ผ่านคาร์มันไลน์ที่ระดับความสูง 100 กิโลเมตร

กระทั่งเบซอสสามารถนำตัวเองและเพื่อนร่วมทริป ขึ้นไปแตะที่ระดับคาร์มันไลน์ได้สำเร็จ

 

แม้ว่าปฏิบัติการท่องเที่ยวอวกาศของสองมหาเศรษฐีโลก ที่เกิดขึ้นห่างกันไม่นาน ดูเหมือนจะเป็นการออกมาแข่งขันกัน

แต่จริงๆ แล้ว ถือได้ว่ากลายเป็นการ “บุกเบิก” การท่องเที่ยวอวกาศให้แก่มนุษยชาติ ให้คนทั่วไปที่พอจะมีกำลังทรัพย์ ได้ขึ้นไปแตะอวกาศ สัมผัสกับสภาวะไร้น้ำหนักกับเขาบ้าง

ซีเอ็นเอ็นรายงานไว้ว่า ทางบลูออริจินของเบซอส ก็กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการขึ้นไปท่องอวกาศอีก 2 เที่ยวบินที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ สำหรับลูกค้าที่จ่ายเงินและพร้อมแล้วสำหรับการขึ้นไปท่องอวกาศ แต่ยังอยู่ระหว่างการประเมินราคาค่าตั๋ว และมีตั๋วอย่างน้อย 1 ใบที่ได้ขายผ่านการ “ประมูล” ไปแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และได้ผู้ที่ซื้อตั๋วนั้นไปแล้ว แต่ไม่มีการเปิดเผยชื่อ มีแต่ตัวเลขของผลการประมูลที่จบที่กว่า 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 920 ล้านบาท!!

โดยผู้โชคดีรายนี้ จะได้เดินทางไปเที่ยวอวกาศพร้อมกับเบซอส แต่ก็ได้ขอถอนตัวในนาทีสุดท้าย ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับตารางเวลาในการบิน

ขณะที่เวอร์จิน กาแล็กติก มีแผนที่จะจัดทริปทดลองการท่องอวกาศอีก 1 เที่ยวบินในปีนี้ ก่อนที่จะเริ่มเปิดให้จองอีกครั้งในต้นปีหน้า สำหรับผู้ที่ซื้อตั๋วไปแล้วราว 600 คน โดยตั๋วเที่ยวอวกาศที่ขายไปนั้น ราคาอยู่ที่ประมาณ 200,000-250,000 ดอลลาร์

นอกจากนี้ ก็ยังเตรียมเปิดจองสำหรับผู้ที่อยากซื้อตั๋วรายใหม่ด้วย แต่คาดว่า ราคาน่าจะสูงขึ้นไปอีก

 

จริงๆ แล้ว นอกจากสองมหาเศรษฐีนี้แล้ว หากพูดถึงการท่องอวกาศ ก็ขาดไม่ได้อีกคน สำหรับอีลอน มัสก์ เจ้าของโครงการสเปซเอ็กซ์ ที่มีกำหนดจะส่งนักท่องเที่ยวไปท่องอวกาศในปลายปีนี้เช่นกัน

แต่ว่าจะไม่มีการเปิดเผยถึงค่าใช้จ่ายในการเที่ยว แต่เคยมีการคาดการณ์กันก่อนหน้านี้ว่า น่าจะสูงถึง 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อที่นั่งทีเดียว

เบซอสเคยกล่าวไว้ว่า เขาหวังว่า วันหนึ่งชาวโลกหลายล้านคนจะได้ขึ้นไปอาศัยอยู่และทำงานบนอวกาศ

แบรนสันเคยบอกไว้ว่า เขาหวังว่า เทคโนโลยีเครื่องบินอวกาศของเขาจะสามารถนำผู้โดยสารจากทั่วโลกเดินทางด้วยเวลาอันแสนรวดเร็วได้

ขณะที่มัสก์มีความหวังว่า จะสามารถนำพามนุษย์ ขึ้นไปบนดาวอังคารได้ และทำให้มนุษย์ได้ขึ้นไปตั้งถิ่นฐานถาวรบนดาวอังคารได้

ความฝันของสามมหาเศรษฐีผู้มีวิสัยทัศน์เหล่านี้ จะเป็นจริงหรือไม่ ต้องคอยติดตามกันต่อไป