คลี่ฆ่าโหดยกครัว 8 ศพ ล่าแก๊งทมิฬชุดพราง อาวุธสงครามครบมือ พุ่งปมทวงเงินเจ้านาย

นับเป็นคดีสะเทือนขวัญที่สร้างความหวาดผวาไปทั่วทั้งประเทศ

สำหรับกรณีฆ่าล้างครัว 8 ศพที่ จ.กระบี่

เมื่อกลุ่มคนร้าย ชายฉกรรจ์นับสิบ สวมชุดลายพรางคล้ายเจ้าหน้าที่ พร้อมอาวุธครบมือ บุกเข้าไปในบ้านของผู้ใหญ่บ้านอ่าวลึก

อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่มาตรวจค้นสิ่งผิดกฎหมาย ก่อนจะจับคนในบ้านร่วม 10 ชีวิต ควบคุมตัวแยกกัน

รอเจ้าของบ้านที่เป็นผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่กลับเข้ามา ก่อนล็อกเจรจารีดความลับอะไรสักอย่าง

แต่เมื่อไม่สำเร็จ ก็ก่อเหตุสยองด้วยการไล่ยิงหัวกันทีละคน โดยเก็บผู้ใหญ่บ้านไว้เป็นศพสุดท้าย

ก่อนหลบหนีไปอย่างลอยนวล พร้อมเก็บหลักฐานฮาร์ดดิสก์วงจรปิดหลบหนีไปด้วย

สะท้อนว่าเป็นนักฆ่ามืออาชีพ

และเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องเร่งติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุสลดมาดำเนินคดีให้ได้

ไม่ว่าจะเป็นคนชุดสีอะไรก็ตาม

จ่อยิงหัวฆ่า ผญบ.ยกครัว 8 ศพ

เหตุสยองครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม โดยตำรวจ สภ.อ่าวลึก จ.กระบี่ รับแจ้งเหตุว่ามีผู้ถูกยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 5 ราย ที่บ้านเลขที่ 14/3 ม.1 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่

หลังรับแจ้งเหตุ พ.ต.อ.กฤษณัฐ วงษ์กล้าหาญ พร้อมด้วย พงส. สายตรวจ เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิต 5 ราย ประกอบด้วย 1.นางดวงพร สังหลัง อายุ 35 ปี 2.นายสุริยา สังหลัง อายุ 30 ปี 3.นายสุทธิพงศ์ พริกดำ อายุ 28 ปี 4.ด.ญ.เพชรดาว สังหลัง อายุ 4 ปี 5.น.ส.แอนนา บุตรเติบ อายุ 26 ปี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนเสียชีวิต

ศพเกลื่อนอยู่บนที่นอนแต่ละห้อง คาดเป็นการจ่อยิงทีละคน

นอกจากนี้ ยังมีผู้บาดเจ็บ 6 ราย ประกอบด้วย 1.นางอัญชลี บุตรเติบ อายุ 30 ปี 2.ดญ.แพรไหมทอง สังหลัง อายุ 13 ปี 3.ด.ญ.รัญชิดา พริกดำ อายุ 13 ปี 4.ด.ญ.รยิดาน์ พริกดำ อายุ 5 ปี 5.นายวรยุทธ สังหลัง อายุ 46 ปี 6.ด.ญ.กิ่งเทียน สังหลัง อายุ 8 ปี ถูกนำส่งโรงพยาบาลอ่าวลึก จ.กระบี่

ขณะที่มีรายงานว่าในที่เกิดเหตุพบทารกชายวัย 3 เดือน ลูกของนายวรยุทธและนางดวงพร ปลอดภัย ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด

ต่อมา ด.ญ.กิ่งเทียน นายวรยุทธ และ ด.ญ.แพรไหมทอง เสียชีวิตที่โรงพยาบาล รวมทั้งหมดเสียชีวิต 8 ราย ส่วนอีก 3 รายยังบาดเจ็บ

สอบสวนทราบว่า นายวรยุทธ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน เป็นผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ อาศัยอยู่กับนางดวงพร ซึ่งเป็นภรรยา และลูกๆ และยังมีญาติๆ อยู่ด้วย รวม 12 คน

ก่อนเกิดเหตุ เมื่อเวลา 16.00 น. ของวันที่ 10 กรกฎาคม มีกลุ่มคนร้าย 6-7 คน แต่งกายชุดลายพรางคล้ายทหาร ใช้ยานพาหนะ 2 คัน ประกอบด้วย รถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ ป้ายทะเบียน กทม. และโตโยโต้า ยาริส สีขาว ป้ายทะเบียนสงขลา

ถือเอกสารคล้ายหมายค้นมาแสดงให้ชาวบ้านแถวนั้นดู พร้อมถามหาบ้านของผู้ใหญ่วรยุทธ อ้างมาตรวจหายาเสพติด

เมื่อเจอบ้านก็เข้ามาตรวจค้นบ้าน ไม่ให้คนในบ้านออกไปไหน

จนกระทั่งช่วง 2 ทุ่ม นายวรยุทธกลับมา ชายฉกรรจ์ก็เข้าคุมตัว ใส่กุญแจมือ ใส่ถุงคลุมหน้า ปิดห้องเจรจากันอยู่นานกว่า 4 ชั่วโมง จนเที่ยงคืน คนร้ายก็จับคนในบ้านเข้าห้อง ยิงหัวทิ้งทีละคน

ไม่เว้นแม้แต่เด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบ

ก่อนจะหลบหนีไปอย่างลอยนวล แถมยังขับรถเก๋งยาริสสีบรอนซ์เทา ทะเบียน กค 533 กระบี่ ของผู้ใหญ่บ้านหายไปด้วย

เป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเร่งคลี่คลาย

แฉชุดพราง-อาวุธสงครามครบ

หลังจากเกิดเหตุสะเทือนขวัญ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ก็สั่งการให้กองปราบปรามตั้งชุดเฉพาะกิจดูแลคดีนี้โดยเฉพาะ ก่อนจะควง พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. พร้อมคณะนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ บินด่วนลงไปดูคดีด้วยตัวเอง พร้อมลงดูที่เกิดเหตุ และร่วมประชุมคดี ก่อนเปิดเผยว่า คนร้ายทำงานอย่างมืออาชีพ ตั้งใจมาก่อเหตุครั้งนี้โดยเฉพาะ

มีการแยกห้องสังหาร แถมวงจรปิดภายในบ้านถูกจับเงยขึ้นทั้งหมด พร้อมยังถอดฮาร์ดดิสก์ออกไปด้วย ทั้งนี้ มอบหมายให้พนักงานสอบสวนสอบทุกประเด็น คลี่คลายข้อสงสัยทั้งหมดให้ได้ ขอเวลาเจ้าหน้าที่ทำงานสักระยะ

สำหรับการสืบสวนสอบสวน เจ้าหน้าที่เร่งประชุมประสานงานระหว่างตำรวจในภูธรภาค 8 เพื่อให้ไล่กล้องวงจรปิดตั้งแต่ถนนเซาธ์เทิร์นซีบอร์ดที่ออกจากบ้านจุดเกิดเหตุ ไปยัง จ.สุราษฎร์ธานี และแยกถนนเพชรเกษม เนื่องจากอาจมีเส้นทางที่กลุ่มคนร้ายใช้หลบหนี หรือเข้ามาแฝงตัวลงมือก่อเหตุ

รวมถึงตรวจสอบยังโรงแรมและรีสอร์ตใน อ.อ่าวลึก และพื้นที่ใกล้เคียง เนื่องจากคาดว่าทีมสังหารอาจเข้ามาดูลาดเลาบริเวณบ้านที่เกิดเหตุก่อนลงมือ พร้อมสอบพยานเพื่อร่างภาพสเก๊ตซ์คนร้าย เพื่อเสนอศาลขออนุมัติหมายจับต่อไป

ทั้งนี้ จากการสอบพยานในที่เกิดเหตุที่รอดชีวิตมาได้ เพราะแกล้งทำเป็นตาย ระบุว่า คนร้ายพกปืนยาว ลักษณะคล้ายอาวุธสงคราม มีคนหนึ่งคลุมไอ้โม่งปิดบังใบหน้า ส่วนอีก 4 คนไม่ได้คลุม ซึ่งพยานจำหน้าได้ แต่ยังไม่ระบุชัดว่าคนร้ายมีกี่คน

พร้อมระบุอีกว่า ระหว่างการสนทนา คนร้ายพูดกับผู้ใหญ่บ้านเป็นภาษากลางว่า “มึงเอาเงินนายกูไปเยอะแล้ว”

ซึ่งอาจเป็นปมสำคัญที่นำมาสู่การฆ่าล้างตระกูล

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังสอบสวนถึงประเด็นที่คนร้ายใช้เวลาอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุกว่า 8 ชั่วโมง จึงต้องสอบสวนว่าต้องการค้นหาสิ่งของอะไรหรือไม่

รวมถึงสาเหตุที่คนร้ายเอารถเก๋งยาริสของผู้ใหญ่บ้านไปด้วยนั้นมีจุดประสงค์อะไร เนื่องจากคนร้ายแสดงความเป็นมืออาชีพ ขนาดปรับกล้องวงจรปิดหนี และเอาฮาร์ดดิสก์ที่บันทึกข้อมูลไป แล้วทำไมถึงเอารถเก๋ง ซึ่งน่าจะติดตามได้ง่ายไปด้วย

อีกทั้งผลการตรวจสอบทางนิติเวช ก็ระบุว่าผู้ตายทั้ง 8 ถูกยิงด้วยปืน .38 ซึ่งเป็นของผู้ใหญ่บ้านเอง เท่ากับว่าคนร้ายพยายามปิดบังหลักฐานที่สาวไปถึงตัวให้ได้

รถยาริส จึงน่าจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะสาวไปถึงตัวคนร้ายได้

เร่งคลี่ 5 ปม-ชนวนสั่งตาย

สําหรับประเด็นความขัดแย้งที่น่าจะเป็นชนวนสั่งตายยกครัว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งไว้ 5 ประเด็น ประกอบด้วย

1. เรื่องความขัดแย้งกับนักการเมืองท้องถิ่น เนื่องจากเป็นผู้ไปฟ้องร้องนักการเมืองท้องถิ่นระดับนายก อบต. ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เรื่องปล่อยให้ชาวบ้านบุกรุกที่สาธารณะหนองตะเคียน

อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าว นายมนัส ชูบุตร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกลาง อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์

ส่วนกรณีผู้ใหญ่บ้านฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือจากหน่วยงานที่ผู้ใหญ่ไปร้องเรียนแต่อย่างใด

ส่วนที่ชาวบ้านบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ พบว่าชาวบ้านได้อาศัยในพื้นที่มานานแล้วแต่ไม่ได้ดำเนินการใดๆ จนกระทั่งนายวรยุทธได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา จึงดำเนินการฟ้องร้องขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่

2. ปมขัดแย้งเรื่องการบุกรุกที่ดิน ที่นายวรยุทธเป็นโจทย์ยื่นฟ้องไล่ที่ชาวบ้าน 8 ราย ขณะนี้เรื่องยังอยู่ในชั้นศาล

3. ความขัดแย้งระหว่างบริษัทเอกชนที่เป็นโรงโม่หินรายหนึ่ง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่านายวรยุทธเป็นตัวตั้งตัวตีเชิญชวนเอกชนมาลงทุนทำโรงโม่หิน ในพื้นที่ ต.บ้านกลาง โดยใช้งบฯ ลงทุนไปกว่า 20 ล้านบาท

แต่เมื่อมีการทำอีไอเอ หรือผลสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสร็จเรียบร้อย มีการขอประทานบัตร กลับมีกลุ่มมวลชนออกมาคัดค้าน

รวมทั้งส่งเรื่องไปยังกรมศิลปากรให้มาตรวจสอบ ซึ่งจากการตรวจสอบก็พบว่ามีภาพเขียนสียุคโบราณ ทำให้กรมศิลปากรสั่งระงับการทำเหมืองหิน

เมื่อบริษัทดังกล่าวพยายามที่จะทำความเข้าใจกับมวลชนก็ไม่เป็นผล จนต้องเลิกทำและส่งต่อประทานบัตรให้กับบริษัทอีกแห่ง ขณะที่นายวรยุทธเอง หลังจากที่เคยชักชวนให้มาทำธุรกิจ แต่ภายหลังกลับไปร่วมมือกับกลุ่มมวลชน

4. เรื่องชู้สาว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า นายวรยุทธมีความสัมพันธ์กับเศรษฐินีชาวสิงห์บุรี ถึงขนาดช่วยเหลือดูแลให้บ้าน ให้รถ แต่นายวรยุทธซึ่งมีครอบครัวอยู่แล้ว กลับนำเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว จนอาจเกิดเป็นชนวนความแค้นขึ้นมาได้

หนำซ้ำช่วงเวลาเกิดเหตุ เศรษฐินีคนดังกล่าว ยังอยู่ในพื้นที่ จ.กระบี่ เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวมาสอบสวนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร

5. เรื่องยาเสพติด เนื่องจากมีพยานระบุว่า ก่อนหน้านี้นายวรยุทธเองมีฐานะปานกลาง เพิ่งมาในระยะ 2 ปีหลัง ที่มีเงินมั่งคั่ง นอกจากนี้ จากคำกล่าวอ้างของกลุ่มคนร้าย ก็ระบุว่าจะเข้ามาตรวจค้นยาเสพติด จึงจำเป็นต้องตรวจสอบว่า นายวรยุทธเกี่ยวข้องจริงหรือไม่ โดยจะเข้าไปตรวจบ้านพักอีกครั้งเพื่อหาความเชื่อมโยง

ไม่ตัดประเด็นใดทิ้งจนกว่าจะได้ความกระจ่าง