ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 กรกฎาคม - 5 สิงหาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | คำ ผกา |
ผู้เขียน | คำ ผกา |
เผยแพร่ |
รัฐบาลภายใต้การบริหารของประยุทธ์ จันทร์โอชา ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการบริหารประเทศ และเห็นชัดที่สุดเมื่อโลกเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดและประเทศไทยก็หนีไม่พ้นจากสถานการณ์นี้ด้วย
ฉันเขียนและพูดมาโดยตลอดว่า ภาวะถดถอยในทุกด้านทุกมิติของประเทศไทย
ภาวะถดถอยนี้หลายคนเรียกว่าเป็นประเทศห้ามพัฒนา
ไม่ได้เกิดจากผู้นำประเทศไม่มีความสามารถหรือโกง แต่เป็นภาวะถดถอยห้ามพัฒนาที่เกิดมาจากวิกฤตประชาธิปไตย เมื่อระบอบประชาธิปไตยถูกโค่นล้มไปโดยการรัฐประหารโดยกองทัพและการสนับสนุนจากประชาชนที่โง่มากพอจะเชื่อว่าการรัฐประหารคือทางออกของประเทศ
ณ วันที่เราอนุญาตให้มีการรัฐประหารเกิดขึ้น อนุญาตให้คนเหล่านั้นอยู่ในอำนาจ ในทางหนึ่งก็ย่อมหมายความว่าเรา “สละ” อำนาจ สิทธิในการเป็นเจ้าของประเทศให้กับคณะบุคคลที่ทำการรัฐประหารและขึ้นครองอำนาจ
ดังนั้น พวกเขาจึงบริหารประเทศบนโจทย์ที่ว่า ทำอย่างไรพวกเขาและพรรคพวกจะได้รับผลประโยชน์สูงสุดและครองอำนาจให้นานที่สุด
เราไม่มีทางรู้ว่ารัฐบาลที่โกงหรือไม่โกง เราไม่มีทางรู้ว่ารัฐบาลนี้เกิดการคอร์รัปชั่นหรือไม่ เพราะอำนาจในการตรวจสอบ ถ่วงดุลอันเป็นกลไกของระบอบประชาธิปไตยถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องเซอร์ไพรส์ ใครๆ ก็รู้ว่ารัฐบาลเผด็จการนั้นด้วยตัวของมันเองก็ไม่มีคำว่าตรวจสอบ ถ่วงดุล เป็นส่วนหนึ่งของระบอบอยู่แล้ว
แต่ครั้งนี้ประเทศไทยไม่ได้เจอแค่วิกฤตประชาธิปไตย ทว่าเราถูกหวยสองเด้ง คือเจอทั้งวิกฤตประชาธิปไตยและวิกฤตโรคระบาด
รัฐบาลเผด็จการฉวยใช้สถานการณ์โรคระบาด ยึดอำนาจสภาแล้วบริหารประเทศภายใต้หน่วยงานที่ชื่อว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด ซึ่งเป็นการตั้งคณะทำงานให้ขึ้นตรงกับนายกฯ แต่เพียงผู้เดียว และมีแขนขาเป็นข้าราชการและฝ่ายความมั่นคงทั้งหมด มิหนำซ้ำยังฉวยโอกาสนี้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน รู้ทั้งรู้ เห็นทั้งเห็นว่า ถ้า พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นเครื่องมือในการควบคุมสถานการณ์โรคระบาดที่ได้ผลจริง ป่านนี้จำนวนผู้ป่วยในไทยควรเป็น 0 แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม ท่ามกลางการรวมศูนย์อำนาจและการมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สถานการณ์โควิดในประแทศกลับยิ่งจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ
แต่แทนที่เราจะบอกว่า เห็นไหม พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ช่วยอะไร เพื่อนร่วมชาติของเรามีมีความโง่เป็นสรณะของชีวิตกลับเชื่อว่า ขนาดมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตัวเลขยังสูงขนาดนี้ ถ้าไม่มีจะขนาดไหน
นี่คือความโง่ของสลิ่มที่เกินจะเยียวยา
ประเทศไทยที่เคยได้ชื่อว่าเรามีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งที่สุดประเทศหนึ่ง แต่แล้วเรากลับมาต้องเผชิญกับภาวะยอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วยภาวะที่ทรัพยากรด้านสาธารณสุขของเราไม่อาจรองรับและดูแลผู้ติดเชื้อ ทำให้ผู้ติดเชื้อจำนวนหนึ่งไม่ได้เข้ารับการรักษา
สิ่งที่ตามมาคือ ผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนหนึ่งกลายเป็นผู้ป่วยที่มีอาการหนักโดยไม่จำเป็น!
แปลว่าถ้าเขาได้รับการดูแลตั้งแต่ต้น เขาจะอาการไม่หนัก และไม่ต้องไปเบียดเบียนทรัพยากรทางสาธารณสุขที่ควรเอาไปดูแลคนที่อาการหนักจริงๆ
สิ่งที่เราเห็นและได้ยินในข่าวรายวันคือ ผู้ติดเชื้อโควิดหาเตียงไม่ได้ หายาไม่ได้ มีคนตายในบ้าน มีคนตายข้างถนน มีเด็กติดโควิดเพิ่มขึ้น
มีแม้กระทั่งเด็กน้อยนั่งเฝ้าแม่ที่ป่วยจนแม่ตายเด็กก็ยังไม่รู้ว่าแม่ตาย
ขณะเดียวกัน ในท่ามกลางโศกนาฏกรรมของความป่วยและความตายอันไม่จำเป็นนี้ ประชาชนต่างก็ต้องลุกขึ้นมาเป็นอาสาสมัคร บริจาคเงินทอง ข้าวของ อุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็น หมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ต่างก็ต้องขูดรีดขูดเนื้อ ขูดแรงงานของตนเองมารองรับวิกฤตอันนี้ และจะไม่ทำก็ไม่อาจทนเห็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่มีใครพยายามจะทำอะไร
ห้องฉุกเฉินของหลายโรงพยาบาลต้องปิดตัวลง คนมีเงินเป็นแสนๆ พร้อมจ่ายให้โรงพยาบาลหากติดเชื้อโควิดก็ยังไม่สามารถจะหาห้อง หาเตียง หาโรงพยาบาลเพื่อจะรักษาตัวเองได้ และในขณะที่แผนการจัดหาวัคซีนของประเทศไทยยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือ ตัวไวรัสก็กลายพันธุ์
และทำให้การแพร่ระบาดเป็นไปอย่างรวดเร็วชนิดที่เกินกำลังที่เราจะรับมือทันแล้ว
ฉันเรียกภาวะนี้ว่าเป็นภาวะรัฐล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
เป็นภาวะที่ประชาชนต่างกระเสือกกระสนหาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเอง ทั้งกระเสือกกระสนหาที่ตรวจ rapid test ทั้งกระเสือกกระสนหาวัคซีน แพงแค่ไหนก็แย่งกันจอง หรือจะต้องไปศิโรราบต่อเส้นสายที่ไหนเพื่อให้มาซึ่งวัคซีนก็ยอม บ้างกักตุนฟ้าทลายโจร บ้างนั่งคั้นนำกระชายกินเอง บ้างพอมีกำลังทรัพย์ กำลังเงินก็พากันไประดมช่วยแคมป์คนงานหรือคนจนที่ต้องทำ home isolation อยู่ที่บ้านโดยปราศจากการดูแลที่เหมาะสมจากราชการ
และแม้แต่เบอร์โทร.ขอความช่วยเหลือยังเป็นเบอร์เสียเงิน และหากเรื่องไม่แดงโร่ออกมากก็ไม่มีการแก้ไขว่า อุ๊บบส์ เหรอ ไม่รู้ ไม่มีใครทำเรื่องมา
ส่วนผู้มีอำนาจ มีงบประมาณ และได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ก็ยังคงปรีดิ์เปรมในอำนาจล้นเหลือของตัวเอง เสพสุขผลประโยชน์ที่มากับตำแหน่งหน้าที่ ชื่นมื่นกับบริวาร และบริหารงานผ่านการ “แถลง” เข้าข้างตัวเองไปวันๆ ว่า “รัฐบาลทำทุกอย่างสุดความสามารถ แต่สถานการณ์ทั้งโลกก็ย่ำแย่ ดังนั้น ไม่ใช่ความผิดของเรา ประชาชนต่างหากที่ต้องหันมาดูแลตัวเองและให้ความร่วมมือกับภาครัฐ”
สำหรับฉันมันน่าจะถึงวันที่ประชาชนผู้เสียภาษีอย่างเราควรจะหมดความอดทนกับรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากเจตจำนงของประชาชนและสืบทอดอำนาจจากการรัฐประหารนี้ได้แล้ว เพราะสภาพที่เราอยู่ในทุกวันนี้ไม่ต่างอะไรจากการนั่งดูโจรมาปล้นบ้านและปล่อยให้โจรปล้นข้าวของทรัพย์สินของเราอย่างต่อเนื่องโดยไม่พยายามจะทำอะไร
ซึ่งในนัยหนึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งจำนนต่อชะตากรรมแล้วรอความตายไปวันๆ
มีเพียงสองอย่างเท่านั้นที่จะกอบกู้ประเทศไทยให้พ้นจากวิกฤตนี้ได้ และฉันเขียนซ้ำไปแล้วนับร้อยรอบคือ
หนึ่ง จัดหาวัคซีนคุณภาพสูงเข้ามาฉีดให้คนทุกคนให้ได้มากที่สุด เร็วที่สุด ครอบคลุมไปถึงเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ภายในสิ้นปีนี้ แลปีหน้าต้องเริ่มฉีดวัคซีนเข็มสามและสี่ให้กับคนไทยทุกคน
สอง จ่ายเงินเดือนคนที่ทำงานในประเทศไทยทุกคนถ้วนหน้าในรูปของ “การประกันรายได้ขั้นต่ำ” เดือนละไม่ต่ำว่า 3,000 บาทต่อคน เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี พร้อมๆ กับการปล่อยซอฟต์โลนให้ผู้ประกอบการ
มีเพียงสองอย่างนี้เท่านั้นที่จะชะลอไม่ให้ประเทศไทยต้องกลายเป็นประเทศที่ล้มละลายในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นสังคม การเมือง เศรษฐกิจ สุขภาพ คุณภาพชีวิต
ถามว่าสองอย่างนี้จะเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของรัฐบาลนี้ไหม?
คำตอบคือ ไม่
ดังนั้น ถ้าคนไทยอยากรอด และอยากเห็นประเทศรอด ไม่กลายเป็นประเทศล้มละลาย เป็นรัฐล้มเหลวและเต็มไปด้วยประชากรง่อยเปลี้ยเสียขาสิ้นหวัง คนพอมีทางไปก็พากันไปตั้งรกรากอยู่ต่างประเทศ คนที่อยู่ในประเทศ ถ้าไม่ใช่พวกทำนาบนหลังคนเป็นปรสิต ก็คือคนจนที่ทำให้อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นคนที่โง่ จน เจ็บ อันเนื่องมาจากการการกระทำของอำนาจรัฐที่ฉ้อฉล ชั่วช้า
คนชั้นกลางจะต้องอยู่บ้านที่ติดกล้องวงจรปิด มีรั้วสามชั้นห้าชั้น หรือแม้กระทั่งต้องพกปืนเพราะไม่รู้ว่าออกจากบ้านแล้วจะโดนปล้นจี้ในนาทีไหน
ลูก-หลานเราจะอยู่ในความเสี่ยงต่อการติดยา เสียคน ท้องวัยทีน เป็นผีพนัน เพราะปัญหาสังคมที่เกิดจากปัญหาการเมือง
ถ้าเราไม่อยากเห็นประเทศไทยมุ่งหน้าไปบนเส้นทางนี้ ทางเลือกเดียวคือ แก้ที่วิกฤตประชาธิปไตย
รัฐบาลนี้ต้องออกไป ต้องถูกลงโทษ กลไกการเลือกตั้งและกติกาที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายเท่านั้นที่จะกอบกู้ปฏิสังขรณ์ปะติดปะต่อประชาธิปไตยในสังคมนี้กลับมาได้อีกครั้ง และยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าเราจะซ่อมแซมซากปรักหักพังที่เกิดจากน้ำมือปรสิตที่ทิ้งซากนี้ไว้กับเรา
แต่ถ้าไม่เริ่มมันก็จะไม่มีวันได้เริ่ม แล้วพวกเราก็จะทำได้แค่รอวันเน่าสลายไปด้วยกัน