ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 กรกฎาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ชกคาดเชือก |
ผู้เขียน | วงค์ ตาวัน |
เผยแพร่ |
ชกคาดเชือก
วงค์ ตาวัน
สิงหาสับ
พรรคฝ่ายค้านกำลังเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก เตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แบบรายบุคคล และลงมติด้วย โดยพรรคเพื่อไทยแกนนำของฝ่ายค้าน ยืนยันว่าสถานการณ์การระบาดโควิดและวัคซีนที่ผิดพลาดล่าช้าเช่นนี้ ไม่อาจจะปล่อยให้รัฐบาลนี้บริหารงานต่อไปได้อีกแล้ว
แม้ในช่วงระยะหลัง เสียงของ ส.ส.ในสภาจะเริ่มถ่างกว้าง ไม่ปริ่มน้ำเหมือนหลังเลือกตั้งใหม่ๆ เพราะมีกระบวนการดูด มีงูเห่า มีแจกกล้วยกันอย่างเอิกเกริก ทำให้ ส.ส.ฝ่ายค้านแปรพักตร์กันหลายราย
จนทำให้การทำหน้าที่ของฝ่ายค้านสนุกในตอนอภิปราย แต่พอลงมติอะไร ประชาชนเริ่มไม่สนใจ เพราะไม่มีความหวังอะไร
กระนั้นก็ตาม เป็นที่จับตามองว่า หากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐบาล อันเนื่องจากความล้มเหลวความเสียหายในเรื่องโควิดและวัคซีน
หนนี้จะมีความหมายในทางการเมืองอย่างมาก!!
เนื่องจากรัฐบาลกำลังถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหนาสาหัสไปทั่วเมือง แวดวงศิลปินดารา ดาหน้าออกมาโจมตีนายกฯ อย่างไม่ไว้หน้า มีเพลงถล่มนายกฯ ว่อนยูทูบ
นักวิชาการที่ระยะหลังไปเข้าร่วมกับเสื้อเหลือง ยังออกมาสะท้อนกระแสสังคมในวันนี้ว่า อยู่มาจนอายุ 75 ยังไม่เคยเห็นคนแสดงความคับแค้นชิงรัฐบาลยุคไหนเท่ายุคนี้ มีตั้งแต่เรื่องโควิด เศรษฐกิจ การเมือง ความไม่เป็นธรรม และการเหลิงอำนาจ ผู้แสดงออกมีตั้งแต่เด็ก 7-8 ขวบ จนถึงผู้สูงวัย 70-80
นักวิเคราะห์การเมืองถึงกับบอกว่า ถ้าเป็นยุคการเมืองปกติ รัฐบาลนี้ต้องไปแล้ว ไม่ลาออก ก็ต้องยุบสภา
แต่การเมืองไทยวันนี้ เป็นการเมืองภายใต้ระบบผูกขาดอำนาจ มีเครือข่ายอำนาจนอกระบบประชาธิปไตยโอบอุ้มรัฐบาลอย่างรอบด้าน ไม่มีใครทำอะไรรัฐบาลนี้ได้
บริหารวัคซีนได้เละเทะขนาดนี้ จนคนป่วยพุ่งทะยาน คนตายมากมายมหาศาฃล นอนตามริมถนนก็มีให้เห็นแล้ว
แต่รัฐบาลก็ยังอยู่ได้แบบเฉยๆ ไม่สะทกสะท้าน
กระนั้นก็ตาม กระแสต่อต้านรัฐบาลจากประชาชนที่ร้อนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่นนี้ ทำให้น่าคิดว่า การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องสถานการณ์โควิด จะเป็นการเปิดอภิปรายที่ประชาชนวงกว้างจะสนใจติดตาม กระทั่งแสดงความคิดเห็นร่วมกดดันอย่างหักหน่วงไปพร้อมๆ กันด้วย
อารมณ์ของประชาชนในสังคมที่เดือดร้อนกันแสนสาหัส จะส่งผลต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน เสมือนประชาชนมีส่วนร่วมสนับสนุนเต็มที่
อารมณ์ของสังคมเช่นกัน จะจับจ้อง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลอย่างไม่วางตา
ว่าจะมีใครที่ลุกขึ้นมาขัดขวางฝ่ายค้าน ปกป้องรัฐบาล
จนกระทั่งถึงขั้นตอนลงมติหลังการอภิปราย จะมีแรงกดดันอย่างมากมายจากประชาชน จน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเองจะต้องคิดหนัก ว่าจะยกมือสนับสนุนรัฐบาลหรือไม่!?
ประมาณกันว่า การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในเรื่องความผิดพลาดการแก้โควิด โดยเฉพาะการจัดหาวัคซีนที่ล้มเหลวอย่างร้ายแรง จะสามารถยื่นและเปิดอภิปรายได้ในเดือนสิงหาคมนี้ เท่ากับว่าสถานการณ์การเมืองในเดือนหน้า จะเข้าสู่ช่วงร้อนแรงอย่างน่าจับตาจริงๆ
สิงหาคมนี้ น่าจะดุเดือดเลือดพล่านราวกับหนังสยองขวัญ “สิงหาสับ” ก็เป็นได้!!
ต้องไม่ลืมว่า บรรดา ส.ส.ไม่ว่าจะสังกัดฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล จะต้องรับรู้ว่าประชาชนในพื้นที่ของตนเองนั้น ลำบากยากแค้นกันขนาดไหน แล้วความรู้สึกของชาวบ้านส่วนใหญ่ในเวลานี้ ชิงชังรัฐบาลขนาดไหน
แค่คำถามจากชาวบ้านว่า เมื่อไหร่จะได้ฉีดวัคซีนกันทั่วกว่านี้ เพียงคำถามนี้ ส.ส.โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาล ก็แทบไปไม่เป็น
เมื่อวัคซีนมาช้าและไม่ใช่ยี่ห้อคุณภาพ มีผลให้การระบาดของโควิดในบ้านเรายิ่งลุกลาม จนมองไม่เห็นแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจะสามารถฟื้นคืนได้เมื่อไหร่ ทำให้ประชาชนอดอยากยากแค้นไปทั่ว
เหล่านี้ ส.ส.ทุกคนย่อมสัมผัสได้ลึกซึ้ง
ดังนั้น ถึงวันที่ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายในสภา เหล่า ส.ส.รัฐบาลเอง จะอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างแท้จริง
ถึงขั้นที่ว่า จะลุกขึ้นมาเบรกการอภิปรายของฝ่ายค้าน ก็คงไม่มี ส.ส.รัฐบาลกล้าทำหน้าที่นี้ได้มากนัก
จะลุกขึ้นมาอภิปรายเพื่อปกป้องนายกฯ ก็ต้องนึกถึงสายตาประชาชนในพื้นที่ตัวเอง ว่าจับจ้องอยู่เช่นไร
ถึงเวลาลงมติไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย ก็ยิ่งยากลำบากมากๆ สำหรับ ส.ส.รัฐบาลในหนนี้
ความโกรธแค้นรัฐบาลที่ร้อนแรงและแผ่กว้างไปทั่วในวันนี้ จะส่งผลให้การอภปรายไม่ไว้วางใจที่น่าจะมีขึ้นในเดือนสิงหาคม
จะกลายเป็นช่วงเวลาสิงหาสับ ที่รัฐบาลจะต้องรับมือกับมรสุมการเมืองและมรสุมโควิดอย่างเหน็ดเหนื่อยที่สุด!
มองในแง่ที่ว่า การเมืองไทยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่มีกลไกเอื้ออำนวยให้รัฐบาลอยู่ยาวนาน อีกทั้งเป็นยุคที่อำนาจนอกระบบ ขุนศึกขุนนาง คอยปกป้องรัฐบาลในทุกด้าน คล้ายเป็นการเมืองที่ปิดล็อก จนมองไม่เห็นทางออก
ถ้ามองในแง่นี้ ก็เหมือนเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลายต่อหลายครั้ง
เมื่อไม่มีทางออกตามวิถีการเมืองปกติ ก็จะเหลือทางเดียวคือการแตกหัก เหลือการเมืองบนท้องถนนโดยพลังของประชาชน
แต่หากสภาได้ช่วยหาทางออกให้กับประชาชนได้ ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติ ตามวิถีทางประชาธิปไตย
จึงมีความคาดหวังกันไม่น้อยว่า การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่กำลังจะมีขึ้น อาจเป็นการเปิดประตูหาทางออก ในท่ามกลางความอึดอัดคับแค้นใจของประชาชนได้
ถ้าหาก ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลยอมรับความจริงว่า ประชาชนยากลำบากอย่างมากมายและโกรธแค้นอย่างหนัก จนไม่อาจฝืนกระแสได้
จะนำมาสู่การตัดสินใจในขั้นตอนโหวต ที่กลายเป็นทางออกทางการเมืองได้!
พรรครัฐบาลใหญ่ 2-3 พรรค กำลังเริ่มคิดหนัก
แม้แต่ในพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นแกนหลักของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์นั้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็มิได้มีตำแหน่งอะไรในพรรค ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ส.ส.ของพลังประชารัฐเลย
อีกทั้งในระยะหลัง ข้อขัดแย้งในการจัดรัฐมนตรี เริ่มมีประเด็นงัดกันระหว่างโควต้ากลางของนายกฯ กับโควต้าของพรรคพลังประชารัฐ
จนทำให้คนในพรรคพลังประชารัฐเริ่มไม่พึงพอใจกับสภาพเช่นนี้มาก
ถึงกับวิจารณ์กันอื้ออึงในพรรคว่า ถ้านายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำของพรรคจริง ก็จะไม่มีปัญหารัฐมนตรีโควต้ากลางเกิดขึ้น!
ส่วนพรรคร่วมสำคัญ คือภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ ก็ยิ่งต้องคิดหนักมากกว่า
จะอยู่ร่วมรัฐบาลต่อไปอย่างไร รัฐบาลที่ถูกประชาชนต่อต้านอย่างกว้างขวาง ด้วยปัญหาความเดือดร้อนจากโควิด ไม่มีวัคซีน เศรษฐกิจไม่ฟื้น
โดยเฉพาะภูมิใจไทย ที่เริ่มเปิดประเด็นหัวหน้าพรรคเป็นแพะโควิด แพะวัคซีน ก็สะท้อนรอยร้าวกับนายกฯ ในสถานการณ์วัคซีนนี้รุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ
สถานการณ์ในรัฐบาลชุดนี้ จึงเข้าสู่จุดเปราะบางอย่างมาก ด้วยความผิดพลาดล้มเหลวในการแก้โควิดนั่นเอง
การเมืองในยุคที่ไม่มีใครทำอะไรรัฐบาลนี้ได้ เพราะอำนาจนอกระบบโอบอุ้ม ทหารสนับสนุนอย่างเหนียวแน่น แต่กำลังถูกประชาชนต่อต้านอย่างหนักและอย่างร้อนแรง
การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนสิงหาคมนี้ จะเป็นช่วงเวลาของการรุกเข้าสู่ใจกลางปัญหาขัดแย้งภายในพรรครัฐบาลทั้งหลายทั้งปวงที่มีกับนายกรัฐมนตรี
จนเริ่มลุ้นกันว่า อาจจะมีสิงหาสับเกิดขึ้นกลางสภาก็ได้!