จดหมาย/ฉบับประจำวันที่ 14-20 กรกฎาคม 2560

จดหมาย

นักกลอน (1)
เรียนบรรณาธิการ “มติชนสุดฯ”
ถ้าพูดถึงเรื่องความรัก ผมคงเหลือแต่อดีต ไม่มีอนาคตแล้ว
แน่นอน อารมณ์จากบทกลอนที่ส่งมานี้ก็เช่นกัน ร่ายเรียงออกมาจากอดีตยุคกลางๆ ของชีวิต
แต่เขียนแล้ววันนี้ก็ยังมีความสุข
ขอส่งมาให้ท่าน บ.ก. อ่านเล่นอีกครั้งครับ เป็นบุคคลที่สองเช่นเคย
และหากได้ลงพิมพ์ก็ยิ่งมีความสุขยิ่งขึ้น
เพราะเพื่อนๆ เท่าที่ยังมีเหลืออยู่จะได้อ่านด้วย
ด้วยความระลึกถึงทุกท่านในกองกำลังของ “มติชน” ครับ
วิมานทราย
เหมือนเดินทางห่างกันวันละก้าว
ทิ้งเรื่องราวบางเรื่องไว้เบื้องหลัง
ข้ามกำแพงแห่งรักซึ่งปรักพัง
จากฝั่งน้ำนี้ไปยังอีกฝั่งฟ้า

ลอยตามลมจมตายในสายคลื่น
ค่อยกลบกลืนดวงใจอันไร้ค่า
ให้คลื่นห่มลมเห่ทะเลลา
กล่อมชีวา อ้างว้าง ณ วังวน

ซากรักลอยคล้อยคลื่นมาคืนหาด
กลับปราสาท กองทราย กลางสายฝน
ตำนานรัก ตำหนักร้าง ใครบางคน
คอยอยู่บนสุสานวิมานทราย
วรา จันทกูล

นักกลอนตอนนี้
    ไม่นอนเปล่าเศร้าจิต แล้วกระมัง
    หลังท่านผู้นำ สวมวิญญาณ “สุนทรตู่”
    ออกมาร่ายกลอนอย่างครึกครื้น ต่อเนื่อง
    ไม่รู้นักกลอนเก่าอย่าง “วรา จันทกูล” รับไหวไหม
    ด้วย “วรา จันทกูล” มาในทาง “รัก-นุ่มนวล”
    เจอสำนวน “สุนทรตู่” ไม่รู้กระด้างในความรู้สึกเกินไปรึเปล่า (ฮา)

นักกลอน (2)
เรียนคอลัมน์ “จดหมาย” มติชนสุดสัปดาห์
ได้ติดตามข่าวการตัดสินเรื่องเรื่องหนึ่ง ทำให้ผมเกิดความรู้สึกบางอย่าง
จึงเขียนกลอนมาระบาย

จิตใจคนสมัยนี้ที่ระห่ำ
เพราะอธรรมนำชีวิตผิดเป้าหมาย
ขาดหิริโอตตัปปะไม่ละอาย
บ้างใกล้ตายยังชูคอจ้องฉ้อโกง

ความรู้สูงจูงใจหวังใฝ่ต่ำ
ย้ำคิดย้ำทำเรื่องร้ายเป็นไอ้โม่ง
ยกอ้างตนคนดีรี่ออกโรง
คุยโขมงโฉงเฉงเพลงมายา

น้ำลายพ่นคนอื่นให้ขื่นขม
สาดโคลนตนเปรอะเปื้อนเลือนคุณค่า
ปั่นหัวหมุดยุติธรรมเห็นตำตา
พิพากษาดำเป็นขาวขาวเป็นดำ

“ขบวนการ…” จึงเขลานัก
มาจมปลักกักขฬะพาลระส่ำ
เป็นตาชั่งบนหอเอนเต้นระบำ
ทุกสังคมผวาคำอำนาจนั้น

ดูนางให้ดูแม่สอนแต่ตน
ค่าของคนอยู่ที่ใดที่ยายนั่น
สืบโครงสร้างทางใครไปทางมัน
ชนชั้นชี้โทษทัณฑ์อันตรธาน

จำเลยว่าฆ่าแป๊ะคือแพะขาว
เป็นเรื่องราวถูกต้องสองมาตรฐาน
โจรถูกปล่อยลอยนวลป่วนวงการ
ภาพประกอบแค่พยานฝันอีกไกล

เพ่งแม่น้ำเจ้าพระยาพาสะอื้น
นิ่งสุดฝืนความรู้สึกฝังลึกได้
ชนชั้นผู้ปกครองสมองไว
สามารถใช้เรือผุพังอย่างทระนง
สมบัติ ตั้งก่อเกียรติ

ความจริง “สมบัติ ตั้งก่อเกียรติ” บอกความรู้สึกในจดหมายอย่างตรงไปตรงมา ว่าทำไมจึงเขียนบทกลอนนี้
    เขียนในขณะที่อารมณ์ “รุนแรง” ขนาดอยากถีบโทรทัศน์ทิ้งเมื่อได้ฟังข่าว
    ซึ่งก็เข้าใจและเชื่อว่าหลายคนก็รู้สึกเช่นนั้น
    กระนั้น ความในใจดังกล่าว บางคราวก็นำเสนอ “บ่ได้”
    จำเป็นต้อง “กำกวม” และ “เซ็นเซอร์”
    แต่เชื่อว่า “นักกลอน” คงจับความในกลอนที่ “สมบัติ ตั้งก่อเกียรติ” ต้องการสื่อได้

นักกลอน (3)

ออกมาพูดเปรียบเปรยประกาศสลาย
ว่าร่อนทองตอนปลายคล้ายบริสุทธิ์
อ้างประชาชนตื่นรู้อย่างเร่งรุด
เป็นประดุจดวงตาเห็นธรรม

เมื่อไม่มาตามวิถีที่เป็นธรรม
ไยมาย้ำทิ้งท้ายร่ายดื่มด่ำ
เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่ก่อกรรม
ที่กระทำย่ำยีวิถีครรลอง

เมื่ออุดมการณ์อนาธิปไตย
จึงขาดไร้มวลชนคนทั้งผอง
ทั้งเป็นอุปสรรคการปรองดอง
ทั้งลำพอง โอหัง มิบังควร

ปลิ้นปล้อนฉ้อฉลจนคบยาก
ผลิตวาทกรรมฝากไว้ให้ปั่นป่วน
ประเทศจะก้าวไปได้ที่คอยตีตรวน
ใช้สื่อก่อกวนตีกินอย่างสิ้นคิด
“ปัจจัตตัง”

กลอนบทนี้ “ตกค้าง” มายาวนาน
    “ปัจจัตตัง” อาจมีเป้าหมายอย่างหนึ่ง
    แต่เมื่อมาอ่านตอนนี้ แม้ “เป้าหมาย” จะเปลี่ยนไป
    แต่ “ความ” ที่สื่อออกมา ก็ยังเป็น “ความเดิม”
    ความเดิมที่ตั้งคำถามกับการ “ไม่มาตามวิถีที่เป็นธรรม”!!