ศ.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ : มองการเปลี่ยนม้ากลางศึก สังคมไทยที่มืดบอด และทางรอดสังคมไทย

รายงานพิเศษ : พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์

รัฐราชการ (ล้มเหลว)

ศ.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ นักวิชาการ มองว่าการบริหารจัดการโควิดที่ผ่านมาถือว่ารัฐล้มเหลวโดยสิ้นเชิง มันผนวกกัน 2 อย่าง คือ รัฐบาลที่สืบเนื่องมาจาก คสช. รัฐบาลประยุทธ์วางอำนาจการตัดสินใจของตัวเองไว้บนระบบราชการทั้งสิ้น แล้วในระบบราชการนี้คุณประยุทธ์ก็ใช้ทหาร ซึ่งใช้เพียงกลุ่มก้อนของตัวเองเข้ามาทำงานซึ่งในตัวระบบราชการไทยจริงๆ มันเติบโตมาด้วยการเลี้ยงตัวเอง โดยไม่ได้คิดถึงการเซอร์วิส และคอนโทรลจริงๆ

ดูง่ายๆ ส่วนหนึ่งที่ระบบราชการล้มเหลวเพราะว่า คนเก่งเขาถอยห่างจากระบบราชการมาเป็นเวลามากกว่า 10 ปีแล้ว คนที่ยังอยู่ในระบบราชการคือคนที่เกาะติดกับระบบ เนื่องจากต้องยึดติดกับระเบียบบ้าบอคอแตก ดังนั้น ระบบราชการซึ่งเป็นฐานของรัฐบาลนี้จึงล้มเหลวมาตั้งแต่ต้น

เพียงแต่ช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงแรกก่อนสถานการณ์โควิดระบาด ก็บริหารไป ประชาชนก็ดิ้นรนกันเอง ตามความสามารถ ราชการก็แค่ประคับประคองไป

ดังนั้น โควิดจึงเข้ามาชี้และทำให้เราเห็นถึง ความอัปยศ อัปลักษณ์ และความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการโดยสิ้นเชิง เราจึงพบว่าเอาเข้าจริงแล้วรัฐนี้ทำอะไรไม่ได้เลย

“เขาเล็กเกินไปสำหรับปัญหาใหญ่ๆ และเทอะทะเกินไปสำหรับปัญหาเล็กๆ ดังนั้น คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ถ้าเขามองเห็นถึงอนาคตประเทศ แน่นอนว่าการคิดถึงประเทศชาติที่ดีที่สุดคือการลาออก เพียงแต่เครือข่ายของคุณประยุทธ์ ซึ่งผมเชื่อว่าเขาจะไม่ยอมจนกว่าจะหาคนใหม่มาแทน ซึ่งผมเดาว่าตอนนี้เริ่มมีกระบวนการหาคนใหม่มาแทนคุณประยุทธ์แล้ว

แต่ถ้าสมมุติว่าเครือข่ายคุณประยุทธ์ยังคงให้คุณประยุทธ์อยู่ และพวกเขาเริ่มมองเห็นอนาคต ก็จะต้องเริ่มปรับระบบราชการให้ไปไกลกว่านี้ ปรับให้เปิดช่องให้คนอื่นเข้ามาร่วมในการทำงานมากขึ้น

เปลี่ยนม้ากลางศึก

การเปลี่ยนม้ากลางศึก มีอยู่ 2 Option

ประการที่ 1 เครือข่ายของคุณประยุทธ์ ซึ่งมีหลายฝ่ายแวดล้อมอยู่ เครือข่ายเขาคงเริ่มมองเห็นว่าคุณประยุทธ์เริ่มเป็น “ภาระ” ที่หนักมากขึ้น อันนี้ก็จะเป็นการเปลี่ยนม้าโดยที่สัมภาระอื่นๆ ยังคงเหมือนเดิม เปลี่ยนเฉพาะม้าตัวนำ การเปลี่ยนแบบนี้จะดีขึ้นหรือไม่ ถ้าเกิดเครือข่ายของคุณประยุทธ์สามารถหาคนที่มีบุคลิกดีกว่านี้ฉลาดกว่านี้ และมีความประนีประนอม รวมถึงมีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดได้ ก็อาจจะประคับประคองรัฐราชการที่ล้มเหลว ให้พอเดินไปได้สักระยะหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่า Option นี้ถ้าเกิดขึ้น ก็น่าจะเกิดขึ้นเร็ว

ประการที่ 2 กรณีที่มีการเคลื่อนไหวกันอย่างหนักหน่วงและมีการแตกตัวกันของเครือข่ายคุณประยุทธ์และเครือข่ายชนชั้นนำ เครือข่ายบางกลุ่มสามารถเถลิงอำนาจได้มากกว่าคนอื่น ก็จะเปลี่ยนม้าตัวใหม่ คนกลุ่มใหม่ สัมภาระใหม่ ถามว่าอันนี้จะดีขึ้นหรือไม่ อย่างน้อยที่สุด ในการเปลี่ยนม้าทั้งชุดใหม่ ผมคิดว่ากระแสตอบรับในช่วงแรกจะดีขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วม้าตัวใหม่จะไปได้หรือไม่นี่ก็ต้องดูกันอีกทีหนึ่ง

ผมคิดว่าวันนี้ ม้าของคุณประยุทธ์และเครือข่ายที่คุณประยุทธ์ทำงานด้วย คือเครือข่ายชนชั้นนำที่กำกับคุณประยุทธ์ กับกลุ่มเครือข่ายที่คุณประยุทธ์ทำงาน ผมคิดว่าเครือข่ายที่คุณประยุทธ์ทำงานมันไม่เวิร์กแล้ว สิ้นสภาพแล้ว มันเริ่มเห็นว่าคุณประยุทธ์และเครือข่ายเพื่อนๆ ที่ทำงานอยู่ เริ่มเป็น “ภาระ” กลายเป็นเผือกร้อนๆ ให้กับชนชั้นนำ

ขณะเดียวกันผมคิดว่าบรรดาชนชั้นนำเขาเคยตั้งความหวังเอาไว้กับม้าตัวนี้ แต่ว่าพอเจอโควิด เขาก็จะพบว่า ม้าตัวนี้ไปไม่รอด แล้วถ้ายังดันทุรัง สนับสนุนม้าตัวนี้ต่อไป มันจะลากเอาเครือข่ายของเขาทั้งหมดตกเหวไปด้วย

ดังนั้น ผมคิดว่าวิธีที่เครือข่ายเขาจะต้องทำ ก็คือการตัดเชือกม้าตัวนี้ทิ้ง แล้วก็หาม้าตัวใหม่มานำ นั่นคือวิธีรอด

แต่วิธีนี้จะส่งผลดีต่อสังคมไทยหรือไม่ทุกคนจะต้อง question mark เอาไว้ ว่าม้าตัวใหม่จะเป็นใคร แล้วจะปฏิบัติการอย่างไร หรือยังคงทำแบบเดิมแบบที่คุณประยุทธ์ทำ เราก็ต้องช่วยกันไล่อีกทีหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ใช่เป็นการ เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล แต่เป็นการเชือดขุนพลที่ทำงานไม่ได้ผล รบแพ้มาตลอด แล้วถ้าขืนยังจะปล่อยให้รบต่อไป มันก็จะฉิบหาย แล้วก็จะพากองทัพอันหมายถึงชนชั้นนำทั้งหมดพังไปด้วย

ถ้าหากชนชั้นนำของเราฉลาดและมีพลังมากพอ ต้องเอาประยุทธ์และพรรคพวกมูฟไปส่วนอื่น แล้วก็ให้ผู้นำคนใหม่เข้ามา

ในกรณีที่ถ้าเขายังคงรักคุณประยุทธ์อยู่ ก็ต้องหาสถานะใหม่ให้ ซึ่งเขาก็คงรักคุณประยุทธ์เพราะว่าที่ผ่านมาคุณประยุทธ์ก็รักษาผลประโยชน์ของเครือข่ายชนชั้นนำได้แบบหน้าชื่นอกตรม เช่น กรณีเรื่องวัคซีน ผมก็คิดว่าคุณประยุทธ์ได้ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นนำอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ก็ถือว่าเป็นคนซื่อสัตย์ต่อเครือข่าย เขาก็คงต้องเก็บเอาไว้

แต่สำหรับ 3 ป. อันประกอบด้วย ประยุทธ์ ประวิตร วงษ์สุวรรณ และป๊อก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผมกำลังสงสัยว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กำลังทำอะไรอยู่ ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนที่อาจจะอยู่รอด ส่วนอีก 2คน น่าจะถูกเชือด สำหรับ พล.อ.อนุพงษ์ ผมคิดว่าเขาฉลาดเล่น เขาเป็นคนที่เพลย์เซฟมาโดยตลอด แต่หากมองโดยรวมแล้ว พล.อ.ประยุทธ์และพรรคพวก พวกพ้อง ผมคิดว่าจะต้องถูกเปลี่ยนออกมากกว่าครึ่ง

ผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่ กรณีสมมุติว่า พล.อ.ประยุทธ์แข็งแรงยังอยู่ได้อีก ผมก็คิดว่าพรรคพลังประชารัฐจะแตก จะมีกลุ่มที่ออกไปตั้งพรรคอื่นแน่นอน

แต่ตัวพลังประชารัฐในภายใต้เครือข่ายของคุณธรรมนัส พรหมเผ่า อาจจะเข้มแข็งเพิ่มขึ้น และผมคิดว่าถ้าคุณธรรมนัสน่าจะขึ้นมาคุมได้มากขึ้นจริงๆ ก็คงจะเป็นพรรคที่มีอายุยาวอยู่สักระยะหนึ่ง อาจจะใช้คำว่าเป็นเฉพาะกิจหรือพังเลยก็ไม่ใช่ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ที่สนับสนุนคุณธรรมนัส เหมือนมีการตอบแทนและทำให้คุณธรรมนัสยังอยู่ได้ โดยที่ผู้ที่สนับสนุนก็ต้องประเมินแล้วว่าเสี่ยงน้อยที่สุด

การลุกฮือของประชาชน-ความหวัง

ผมคิดว่าความไม่พอใจได้กระจายไปอย่างกว้างขวาง ทั้งกลุ่มเด็กกลุ่มชนชั้นกลาง หรือคนที่เคยเป็นสลิ่ม แต่ประเด็นสำคัญที่ยังขาดคือการจุดให้ความไม่พอใจปะทุขึ้นมาในสังคมไทย ภายใต้ความอึดอัด คับข้องใจ ความเจ็บปวดที่อยู่ข้างล่าง มันจะไม่ขยับขึ้นมาเอง จะต้องมีอะไรมาเจาะรูเหมือนฝีแตก ให้มันพุ่งขึ้นมา

ดังที่ อ.สุรชาติ บำรุงสุข ได้เขียนบทความไว้ว่าบรรยากาศตอนนี้เริ่มใกล้ 14 ตุลาคม 2516 แล้ว ผมคิดว่าความไม่พอใจรัฐบาลสูงขึ้นมาก เพียงแต่การจุดชนวนยังไม่เกิด แล้วอะไรจะเป็นตัวจุดชนวน ใครจะเป็นคนจุด ผมคิดว่าเมื่อสถานการณ์สุกงอมไปเรื่อยๆ มันเหมือนฝีมีอะไรมาสะกิดก็แตก เพียงแต่ว่ามันคืออะไรผมก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกัน ถ้าให้มองอย่างการฉีดน้ำสลายชุมนุมใส่เด็กปีที่แล้วก็เกือบเป็นชนวนปะทุแล้ว

ครั้งนี้ผมเดาว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ที่ผ่านมาสถานการณ์โควิดคนตายรายวัน การบริหารวัคซีนผิดพลาด นายกฯ ให้สัมภาษณ์ ชูนิ้ว-พูดนะจ๊ะ สิ่งต่างๆ เหล่านี้กลายเป็นความแค้นสะสม แต่อะไรที่จะกระแทกใจจนคนทนไม่ไหวทำให้ปะทุ ตอนนั้นเราก็คงจะมองเห็น

แล้วถ้าโควิดเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ภายในครึ่งปีหลังอาจจะได้เห็นการปะทุ เว้นแต่เครือข่ายของเขาเลือกจะยุบสภาหนีก่อน

พูดอย่างตรงไปตรงมา ผมก็มองไม่เห็นความหวังเหมือนกัน สิ่งที่ผมกังวลก็คือว่าทางออกจากวิกฤตที่รอบด้าน ในสภาวะที่สังคมไทยกำลังตั้งคำถามกับ establishment ในทุกระดับ กลุ่มเครือข่ายของชนชั้นนำเหล่านั้นกลับไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมกังวลว่าบรรยากาศการนองเลือด มีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก

ดังนั้น ความหวังของผม อาจจะอนุรักษนิยมหน่อย ผมหวังว่าเครือข่ายชนชั้นนำที่คุณครองอำนาจมาเนิ่นนานแล้ว จะเข้าใจแล้วผ่อนปรนตรงนี้ ยอมเสียสละ ผลประโยชน์ที่คุณมี ทรัพย์สินที่คุณเคยมี ออกมาอีก ทำให้เราค่อยๆ ประคับประคองกันไป ถามว่าเลื่อนลอยไหม มันเลื่อนลอยนะ สังคมไทยมืดบอดมากๆ วันนี้ สิ่งที่เราเรียกว่าประชาคม สิ่งที่เราเรียกว่ากระบวนการประชาธิปไตย จำเป็นที่จะต้องหันหน้ามาคุยกันให้มากขึ้น จำเป็นที่จะต้องถกเถียงกันให้มากขึ้น

อย่างน้อยที่สุดถ้าหากมันเกิดวิกฤตอะไร มันจะมี “เบาะ” อะไรบางอย่างที่ทำให้เรารอดพ้นจากการเป็นรวันดา การฆ่าฟันระหว่างกัน

สังคมไทยวันนี้มืดมนจริงๆ จนน่ากังวล