‘ทน’ มาถึงวันนี้ได้อย่างไร/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

‘ทน’ มาถึงวันนี้ได้อย่างไร

 

รู้กันอยู่ว่า “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ไม่เพียงแต่ถูกใช้เพื่อบริหารสถานการณ์โควิด-19 ระบาดมาตั้งแต่มีนาคม 2563 หากยังถูกใช้รับมือการชุมนุมต่อต้านของเยาวชนนิสิตนักศึกษาและประชาชนเรื่อยมา

ทั้งๆ ที่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน 2563 ใน 1 วัน ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่แค่ “เลขตัวเดียว”

ไม่มีข้อมูลสถิติใดเลยที่ชี้ว่าการต่ออายุ “พรก.ฉุกเฉิน” เรื่อยมาของรัฐบาลเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19

กระทั่งเมื่อ 1 ปีผ่านไป สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ “ทีดีอาร์ไอ” ก็ได้ประเมินผลงานของรัฐบาลประยุทธ์ในด้านควบคุมการระบาดของโควิด-19 ว่า ตลอดทั้งปี 2563 จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อสะสม 28,000 คน

แต่ชั่วเวลา 3 เดือนระหว่าง “เมษายน-มิถุนายน 2564” ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มขึ้น 10 เท่า เป็นกว่า 3 แสนคน

จากเดิมที่เคยติดเชื้อวันละ 100 คน พุ่งขึ้นเป็นวันละ 10,000 คน

จากเดิม “1 ปี ตาย 90 คน” กลายเป็น “1 วัน ตาย 100 คน” !

“ทีดีอาร์ไอ” จึงใช้คำว่า “การบริหารงานในสถานการณ์วิกฤตของรัฐบาลเป็นไปอย่างสับสน”

 

ถึงจะอาศัย “พรก.ฉุกเฉิน” เสริมสร้าง “ความมั่นคง” ให้กับรัฐบาล แต่ “วิธีคิด” กับ “การบริหารจัดการ” ของรัฐบาลกลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

“ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรีและ ผอ.ศบค.ประเมินสถานการณ์โควิด-19 ผิดมาตั้งแต่แรก จึงสั่งจองวัคซีนยี่ห้อเดียว “แอสตร้าเซนเนก้า” จำนวน 26 ล้านโดส พร้อมกับอวดอ้างอย่างผิดๆ ว่า “ไทยจะมีความมั่นคงทางวัคซีน”

อย่าลืม “คำแป้ง” !

นวลพรรณ ล่ำซำ “มาดามแป้ง” ประกาศชัดเจนว่า “สยามไบโอไซเอนซ์ เป็นผู้รับจ้างผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า นั่นเป็น 1 สัญญา ส่วนรัฐบาลกับแอสตร้าเซนเนก้า ก็เป็นอีก 1 สัญญา เราเป็นบริษัทเอกชน ขอย้ำว่าประชาชนควรมีทางเลือก และรัฐบาลควรสั่งซื้อวัคซีนหลายทางเลือกให้กับประชาชน”

แต่ในความจริง ประชาชนไทยไม่มีทางเลือก !

ขณะเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ระบาดในปี 2563 คำสั่งจองวัคซีนมีเพียง “แอสตร้าเซนเนก้า” แค่ 26 ล้านโดส สำหรับประชากร 13 ล้านคน ไม่มีแม้ “วัคซีนสำรอง” ตัวที่สอง

ต่อเมื่อโควิดระบาดรอบสองในเดือนธันวาคม 2563 ที่ตลาดแพกุ้ง สมุทรสาคร จึงสั่ง “ซิโนแวค” บินด่วนมาจากเมืองจีนนัยว่าใช้ “ขัดตาทัพ” ไปพลาง ก่อนที่ “แอสตร้าเซนเนก้า” จะไหลมาเทมาในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม

จาก “ตัวสำรอง” ใช้ไปพลางก่อน วันนี้ “ซิโนแวค” กลายเป็น “ตัวหลัก” ใช้ฉีดเป็นเข็มที่ 1 และเข็ม 2 ให้กับแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด่านหน้าที่อายุต่ำกว่า 60 ปี

แม้จะกระอักกระอ่วนคลางแคลงแต่หมอ พยาบาล และบุคลากรด่านหน้าก็ไม่แสดงอากัปกิริยา ทุกคนยังคงก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ จนเมื่อเวลาล่วงผ่านไป ที่บุคลากรทางการแพทย์ฉีดวัคซีน “ซิโนแวค” ครบ 2 เข็มแล้ว จึงได้ประสบกับตัวว่าติดเชื้อโควิดกันระเนระนาดไปกว่า 800 คน กับเสียชีวิตอีก 2 คน

ที่อินโดนีเซีย ดร.โนฟิเลีย ซาฟรี บัคเตียร์ นักวิทยาศาสตร์หญิงผู้นำการทดลองวัคซีนซิโนแวค ของไบโอฟาร์มา อินโดนีเซีย ก็เพิ่งจะเสียชีวิต …ไม่มีคำตอบเกี่ยวกับสาเหตุ แต่มีข้อมูลยืนยันว่าบุคลากรทางการแพทย์ในอินโดนีเซียที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว 2 เข็ม เสียชีวิตกว่า 130 คน

 

ที่ประเทศไทยในกลางเดือนกรกฎาคม มีผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรกเพียง 13% และฉีดครบ 2 โดสแค่ 4% มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 10,000 คน ตายวันละ 100 คน โคม่าอีก 4,000-5,000 ชีวิต จำนวนผู้ป่วยอาการหนักพุ่งขึ้นติดอันดับต้นๆ ของโลก แต่ถึงแม้จะประจักษ์ชัดว่า “ซิโนแวค” ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักได้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ครม.ก็ยังอนุมัติเงินกว่า 6,100 ล้านบาทให้จัดซื้อ “ซิโนแวค” มาเพิ่มอีก 10.9 ล้านโดส

จากตัวเลขปัจจุบันที่ไทยรับ “ซิโนแวค” มาแล้ว 7,475,960 โดส กับได้รับ “แอสตร้าเซนเนก้า” มาแล้ว 5,489,400 โดส ในสัดส่วน 58 ต่อ 42 เท่ากับว่า “ซิโนแวค” ได้ขยับจากวัคซีนขัดตาทัพเป็นวัคซีนหลักที่รัฐบาลใช้ฉีดให้กับประชาชนในพริบตาเดียว

แต่ที่วิกฤตไปกว่านั้นคือ วัคซีนซึ่งเปรียบเสมือน “เสื้อเกราะ” กันกระสุนให้กับประชาชนนั้น “ไม่มี” หรือ “ไม่มาตามนัด” ผู้คนเคว้งคว้างกลางสมรภูมิ ตื่นตระหนก ขุ่นเคือง คับแค้น สิ้นหวัง ไม่มีแม้แต่ “ประสิทธิภาพในการสื่อสาร” ให้ข้อมูล ให้คำแนะนำ ไม่บริหารจัดการผู้คนที่แห่กันไปนั่งรอ นอนรอเข้าคิวตรวจเชื้อเนืองแน่นแออัดตามสะพานลอย ข้างถนน บนฟุตบาท ข้ามวันข้ามคืน

ทั้งในบางยาม กลางสายฝนได้ยินเสียงร่ำไห้จากคุณยายวัย 71…จะต้องให้พวกเราตายกันอีกเท่าไหร่

 

บรรดามิตรรักนักเป่านกหวีด ดารานักแสดง คนวงการบันเทิง ธุรกิจภาคเอกชน ฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น พาเหรดกันออกมาชำแหละความล้มเหลว ไม่เพียงแต่เรื่อง “ไม่มีวัคซีน” หากยัง “ตั้งคำถาม” กับการ “เก็บส่วนต่าง” ของรัฐจาก “วัคซีนทางเลือก” ว่า “ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย -หรือไม่” เนื่องจาก “ไทย” กำ

ลังจะกลายเป็นประเทศเดียวในโลกที่ประชาชน (จำนวนหนึ่ง) จ่ายเงินซื้อวัคซีน (แม้สมัครใจ)

วาทกรรมที่ว่า “มาไม่นาน-จะนำความสุขมาให้” ไม่ทะเยอทะยาน ไม่ฝักใฝ่ในอำนาจเริ่มเสื่อมมนต์ขลัง

7 ปีกว่าแล้ว ยังเห็นหน้า “3 ป.” กันครบถ้วน

รัฐบาลประยุทธ์ทำตัวเหมือนเป็น “ผู้หยิบยื่นให้” ตามสไตล์การบริหารแบบ “รวมศูนย์อำนาจ” ไม่มีการสื่อสารที่เปิดเผย โปร่งสว่าง ตรวจสอบได้ง่าย พร้อมกันนั้นก็พยายาม “กล่อม” ให้ประชาชนทำตัวเป็น “ผู้รับ” ที่สงบเสงี่ยมเจียมตัว

ไม่นิยมให้ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยซักไซ้ ตรวจสอบ และ “มีส่วนร่วมทางการเมือง” !?!!