จ๋าจ๊ะ วรรณคดี : หนังเหนียว (1) / ญาดา อารัมภีร

ญาดา อารัมภีร
ขอบคุณภาพจาก ภาพยนตร์ เรื่อง ขุนพันธ์

 

 

หนังเหนียว (1)

 

‘หนังเหนียว’ มีหลายความหมาย

ความหมายแรกเคยได้ยินสมัยแข่งโบว์ลิ่งทุกอาทิตย์ คนหนึ่งในทีมมีอารมณ์ขันร้ายกาจ มักเอ่ยถึงภรรยาว่า “ยายแก่หนังเหนียว แก่ง่าย ตายยาก”

หนังเหนียวในที่นี้มีความหมายว่า ตายยาก อีกความหมายหนึ่งคือ ไม่บาดเจ็บ หรือไม่ตายง่ายๆ เนื่องจากทนทานต่ออาวุธทั้งปวง คงทนต่อการถูกทำร้ายด้วยอาวุธ

ความหมายเดียวกับคำว่า ‘คงกระพัน-คงกระพันชาตรี-อยู่ยงคงกระพัน’

หรือถ้าเก่ากว่านั้นก็ตรงกับคำว่า ‘อยู่คง’ ซึ่งเป็นคำโบราณพ้นสมัยไม่ใช้กันแล้ว จะคำใดก็แล้วแต่ ความหมายไม่ต่างกัน นั่นคืออาวุธใดก็ทำอันตรายมิได้

อาวุธที่ว่าเป็นได้ทั้งมีคมและไม่มีคม อาวุธมีคม ได้แก่ หอก แหลน หลาว มีด ดาบ ฯลฯ ดังที่เสภาเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” เล่าถึงขุนศรีวิไชย พ่อขุนช้าง เสียทีแก่โจรปล้นบ้าน

 

“พวกอ้ายขโมยพร้อมล้อมจับตัว                    เอาดาบสับหัวหาเข้าไม่

ผูกคอแทงผึงตึงตึงไป                                ดังว่าแทงขอนไม้ไม่เข้ามัน

เอาดาบฟันผ่าลงบ่าฉับ                              เยินยับหักร้นไปจนกั่น

ขโมยว่าอ้ายนี่มันดีครัน                             หอกดาบหักสะบั้นยับเยินไป”

 

ต่อให้ใช้ดาบหรือหอก ฟัน ฝ่า สับ หรือแทงกระหน่ำสักเท่าใด ขุนศรีวิไชยก็หาสะเทือนไม่ ผลคือ ‘หอกดาบหักสะบั้นยับเยินไป’

อย่าว่าแต่อาวุธมีคม แม้ไร้คม เช่น ไม้สารพัดชนิดที่ใช้ฟาด ทุบ ต่อย ตี อย่างไม้ตะพด คมแฝก กระบอง ไปจนถึงสากหรือไม้ตีพริก ก็ไม่อาจทำอันตรายได้เช่นกัน

ดังตอนที่สมภารมี วัดป่าเลไลยก์ ให้เณรแก้วลองวิชา

 

“กูจะให้วิชาสารพัด                                  ให้ชะงัดเวทมนตร์พระคาถา

ท่วงทีเอ็งจะดีดังจินดา                              แล้วคายชานหมากมาให้เณรกิน

เณรแก้วรับแล้วกินชานหมาก                      ขรัวต่อยด้วยสากแทบหัวบิ่น

ไม่แตกไม่บุบดังทุบหิน                              ท่านขรัวหัวเราะดิ้นคากๆ ไป”

 

กรณีของเณรแก้ว ความคงกระพันเกิดจาก ‘อาพัดหมาก’ การอาพัด คือการเสกของให้กิน ในที่นี้สมภารมีเสกชานหมากคายให้เณรแก้วกินเข้าไป ชานหมากทำหน้าที่เป็นเครื่องรางของขลังป้องกันอันตรายให้ร่างกายไม่ระคายอาวุธ

แม้หัวเณรแก้วโดนสากเข้าเต็มๆ ก็เหมือนสมภารทุบหินแทนหัว ไร้ร่องรอยบุบสลาย

 

นอกจากนี้ ความสามารถในการต่อสู้ของแม่ทัพนายกองยังรวมถึงอยู่ยงคงกระพัน ดังจะเห็นได้จากสิงห์หนุ่มสู้เสือเฒ่า เป็นการรบบนหลังม้าระหว่างพลายงามกับแสนตรีเพชรกล้า

 

“เพชรกล้ารำง้าววาววาววับ                          เจ้าพลายรำดาบรับสองมือป้อง

สองนายร่ายรำตามทำนอง                           ม้าผยองหันหกวกเวียน”

 

ไม่เพียงแต่ออกอาวุธอย่างแคล่วคล่องว่องไว ยังหนังเหนียวสูสีกันทั้งคู่ อาวุธของแต่ละฝ่ายทำอะไรกันไม่ได้เลย

 

“พลายงามตามชิดติดตะบัน                            สบท่าผ่าฟันลงต้ำตึง

หยุ่นเปล่าหาเข้าตรีเพชรไม่                            เยื้องขยับกลับใส่เจ้าพลายผึง

เจ้าพลายผันฟันบ่าเพชรกล้าปึง                       เนื้อประหนึ่งหินผาศิลาแลง

แสนตรีเพชรกล้าง่าง้าวกราย                          ฟันเจ้าพลายงามพรวดดังกรวดแกร่ง

ราวกับเกาหลังให้ยิ่งได้แรง                            ฟันตะแบงบุกไปไล่ตะครุบ

เอาดาบฟาดฉาดฟันตะบันส่ง                         เป็นหลายหนทนคงไม่บู้บุบ

เพชรกล้ากลับด้ามเข้าตำทุบ                          ถูกเนื้อยุบพอขยายก็หายไป”

 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เหนือชั้นกว่าอยู่ยงคงกระพัน คือ แคล้วคลาดจากอาวุธทั้งปวงโดยเฉพาะปืน ดังที่ขุนแผนท้าทายหมื่นหาญ พ่อตาว่า

 

“ถึงอยู่ยงคงทนพ้นประมาณ                           ไม่พอการฉานยังไม่ชอบใจ

ที่เรี่ยวแรงแข็งขันฟันไม่เข้า                            จะนับเอาว่าดียังไม่ได้

ถ้าเขารุมแทงฟันตะบันไป                             คงช้ำในหักป่นไม่พ้นตาย

ถ้าแม้นมาตรอาจหาญการวิชา                        ต้องแคล้วคลาดศาสตราสิ้นทั้งหลาย

ให้ยัดปืนยืนยิงเข้ารอบกาย                            ไม่ระคายปลายขนสักนิดเดียว”

 

ก่อนให้สัญญาณยิง ขุนแผนโอมอ่านคาถา ตั้งจิตภาวนาสำรวมใจเป็นสมาธิ ‘เป็นหนึ่งแน่วแน่ใจไม่ไหวติง’ จากนั้นก็ ‘พยักหน้าว่าให้ยิงมาพร้อมกัน’

หมื่นหาญสั่งทหารทั้ง 20 นายระดมยิงทันที

 

“ยี่สิบบอกกรอกตรงเข้าพร้อมกัน                      ลากลั่นนกฉับวับวับตึง

เอ็งลั่นกูลั่นควันตลบ                                    หินกระทบปราดเปรี้ยงเสียงผึงผึง

ยิงแล้วยัดใหม่ใส่ตะบึง                                  อึงคะนึงไปทั้งบ้านสะท้านใจ

ทั้งหญิงชายวิ่งพรูมาดูเล่น                              ควันกลบอยู่หาเห็นเจ้าพลายไม่

ที่บางคนสำคัญว่าบรรลัย                               ด้วยมิได้ขาดปืนอยู่ครื้นเครง

ยิงแล้วยัดใหม่ใส่กระหน่ำ                               รุกร่ำเอาจนดินสิ้นเขนง

เจ้าพลายนั่งตั้งตัวไม่กลัวเกรง                          เหล่านักเลงสั่นหัวกลัวทุกคน

พวกชาวบ้านว่าท่านนี้ดีจริง                            เขายัดปืนยืนยิงดังห่าฝน

หมดดินสิ้นลูกไม่ถูกตน                                 ไม่ระคายปลายขนคนดีครัน”

 

เนื่องจากกระหน่ำยิงปืนเสียงดังหูดับตับไหม้ ยิงจนสิ้นดินปืนและกระสุน แม้คนถูกยิงจะ ‘ไม่ระคายปลายขน’ แต่ก็ดำปี๊ดปี๋ตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

“ว่าพลางทางลุกมาพลัดผ้า                             หน้าตาดำดังเขม่าไต้

ด้วยดินปืนเปื้อนตัวอยู่ทั่วไป                           เพื่อนมิได้อนาทรร้อนรน

พวกทหารยิงกว่าห้าร้อยนัด                           มิได้พลัดเข้าไปข้องต้องปลายขน”

 

สภาพจิตของคนถูกยิงยังเต็มร้อย ไม่หวั่นไหวสิ่งใด ในขณะที่ฝ่ายยิงสติแตกกันทั่ว นอกจากจะ ‘สั่นหัวกลัวทุกคน’ และสรรเสริญขุนแผน ‘ว่าเลิศล้นล้ำมนุษย์เห็นสดุดี’ แล้ว ยังสำนึกผิดและพร้อมใจกันเปลี่ยนสรรพนามเรียกขาน

 

“พวกทหารกลัวราบกราบพลายแก้ว                   ลูกดินสิ้นแล้วคุณพ่อขา

ที่ตั้งใจยิงพ่อขอษมา                                      ได้เมตตาอย่าโกรธเอาโทษทัณฑ์”

 

ลูกผู้ชายชื่อ ‘พลายแก้ว’ หรือ ‘ขุนแผน’ นักเลงพอ ไม่ถือโทษโกรธเคือง ทำให้ทหารทั้งหลายค่อยหายใจทั่วท้อง

“พลายแก้วตอบว่าพ่อตาใช้ มิใช่เจ้าเหล่านั้นจะเสกสรรค์

ขัดไม่ได้จริงจริงต้องยิงกัน จะโกรธเจ้าเหล่านั้นด้วยอันใด”

ที่ว่า ‘หนังเหนียว’ เป็นอย่างไรก็กระจ่าง อะไรบ้างทำให้หนังเหนียว ติดตามฉบับหน้า