ล้านนาคำเมือง ชมรมฮักตั๋วเมือง : “แอ่วสาว”

ล้านนาคำเมือง

ชมรมฮักตั๋วเมือง

สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

อ่านเป็นภาษาล้านนาว่า “แอ่วสาว”

ในภาษาล้านนา “แอ่ว” คือ การไปเยี่ยมเยือน

“สาว” หมายถึง หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน

การ “แอ่วสาว” ได้แก่ การที่หนุ่มๆ ไปพบปะพูดคุยทำนองเกี้ยวพาราสีกับสาวในยามราตรี

ค่ำคืนหลังจากผ่านพ้นฤดูการเก็บเกี่ยว เป็นช่วงเวลาที่หนุ่มๆ น้อยใหญ่จะถือโอกาสออกเดินไปพูดคุยกับสาว ขึ้นบ้านโน้นลงบ้านนี้ไปเรื่อยๆ ในกรณีที่ยังไม่ได้หมายปองหญิงใดเป็นคู่รัก

แต่หากหนุ่ม-สาวใดค่อนข้างจะแน่ใจว่าจะเป็นคู่รักกัน หนุ่มนั้นก็มักจะไปหาหญิงที่มีใจปฏิพัทธ์กันในช่วงดึกค่อนคืน หลังสุริยาลาลับขอบฟ้า สกุณากลับสู่รังนอน เสร็จจากอาหารมื้อเย็น

สาวๆ จะจุดตะเกียง นั่งทำงาน “อยู่นอก” คืออยู่นอกห้องอันเป็นบริเวณที่ใช้สำหรับรับแขกซึ่งอาจเป็นเติ๋น (ห้องโถง) ชานเรือน แล้วแต่สถานที่จะอำนวย งานที่ทำเป็นงานเบา เช่น ปั่นฝ้าย แกะกระเทียม คัดเมล็ดพันธุ์ผัก เพื่อรอหนุ่มมาคุยด้วย

ส่วนบ่าวจะออกจากบ้าน อาจไปคนเดียวหรือมีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วย ส่วนใหญ่จะไปแอ่วสาวต่างหมู่บ้าน เพราะสาวบ้านเดียวกันเห็นกันมาแต่เล็ก รู้จักพื้นเพและนิสัยใจคอกันมาตลอด จนมีคำกล่าวติดปากกันว่า “แอ่วสาวบ้านเดียว เหมือนเตียวไปขี้”

คือไปจีบสาวบ้านเดียวกันมันจำเจ เหมือนเดินไปส้วม

 

การเดินทางในยามค่ำคืนต้องอาศัยแสงไฟจาก “แคร่” คือคบไม้ไผ่จุดไฟ เมื่อถึงที่หมายจะดับไฟไว้ที่ใดที่หนึ่ง หนุ่มบางคนมีเครื่องดนตรีติดตัวไปด้วย ส่วนใหญ่เป็นเครื่องดนตรีที่พกพาง่าย เสียงไม่ดังจนเกินไป อาทิ ซึง สะล้อ ขลุ่ย ในยามที่ยังไม่ได้ขึ้นเรือนสาวใด เครื่องดนตรีเหล่านี้จะเป็นเพื่อนแก้เหงา อีกทั้งอาจเป็นอาวุธได้ในยามจำเป็น

สิ่งที่สำคัญมากที่สุดในประเพณีแอ่วสาวคือ การใช้คำพูดโต้ตอบกันด้วยสำนวนโวหาร

เมื่อชายหนุ่มกับหญิงสาวก้าวเข้าสู่วัยแรกรุ่น เด็กหนุ่มจะต้องเรียนรู้และจดจำการใช้โวหารรักที่เรียก “คำอู้สาว” จากหนุ่มรุ่นพี่ ขณะเดียวกันเด็กสาวก็ต้องเรียนรู้และจดจำ “คำอู้บ่าว” จากสาวรุ่นพี่เช่นกัน เมื่อจดจำสำนวนได้ก็สามารถดัดแปลงตามปฏิภาณไหวพริบของแต่ละคนไป

เมื่อไปถึงบ้านสาว แรกๆ ก็พูดหยอกเย้าลองเชิง เช่น

“อี่นายนาฏน้อง อ้ายมาแอ่วหา จักเติ้กก่อจา ขึ้นไปนั่งอู้”

(น้องหญิง พี่มาเยือน จะเป็นการขวางทางคนรักของน้องหรือไม่ หากพี่จะขอขึ้นเรือนไปคุยด้วย)

สาวได้ยินจะตอบด้วยโวหารคำเชิญว่า

“ขึ้นมาเต๊อะ บ่ถ้ากลั๋วใผ บ่มีคนใด มาแอ่วหาข้า”

(ขึ้นมาเถอะจ้ะ บ่ต้องเกรง เพราะปกติก็ไม่มีใครมาหาน้องหรอก)

และเมื่อขึ้นเรือนแล้ว หนุ่มจะขออนุญาตนั่ง

“อ้ายขอนั่งหนี้สักศอก ขอออกหนี้สักวา ถ้าอ้ายเปิ้นมา ค่อยลุก”

(พี่ขอนั่งตรงนี้ ใช้ที่สักศอกสักวา ถ้าคนรักน้องมา พี่ก็จะรีบลุกให้)

สาวจะตอบว่า

“นั่งเต๊อะ นั่งเต๊อะ บ่แม่นที่ใผ เป๋นที่วงศ์ใย พี่น้องชาวบ้าน”

(นั่งเถิด ไม่ใช่ที่เฉพาะของใคร หากแต่เป็นที่นั่งของญาติและคนทั่วไป)

บทสนทนาที่เต็มไปด้วยคำคล้องจองเชิงเกี้ยวพาราสี โดยเฉพาะที่เป็นที่นิยมคือบทกวีประเภท “คร่าว” ซึ่งโวหารจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในภายหลัง

 

สนทนากันไปพอคุ้นเคยแล้ว หนุ่มจะคอยสังเกตว่าสาวชอบคนไหน เมื่อรู้แล้ว เพื่อนคนอื่นจะขอแยกตัวไปบ้านหลังอื่นต่อไป กระทั่งตกดึกหนุ่มที่ลงจากบ้านสาวก่อนจะกลับมารอยังจุดนัดหมาย การเดินทางคนเดียวอาจเปล่งเสียงขับขานออกมาด้วยการ “จ๊อย” คือนำเอาบทคร่าวมาขับเป็นทำนองเสนาะ ให้เสียงเป็นเพื่อนเดินทาง และเมื่อถึงจุดนัดหมายก็มักจะเล่นดนตรี โดยเล่นเดี่ยวบ้าง บรรเลงเป็นวงบ้าง เมื่อมาครบคนแล้วก็พากันกลับเคหสถานโดยอาศัยไฟจากแคร่ที่ดับไว้ส่องนำทาง

จารีต “แอ่วสาว” เป็นวิถีอันดีงาม ยึดการสนทนาของหนุ่มสาวป็นหลัก ไม่มีการล่วงล้ำในทางชู้สาว

และส่วนหนึ่งของการสนทนาพ่อ-แม่ของสาวจะมีส่วนรับรู้ด้วย เพราะทุกครั้งที่ทั้งสองพูดจากันพ่อ-แม่ของสาวที่อยู่ในห้องนอนจะได้ยินได้ฟังตลอด

ถือได้ว่าพ่อ-แม่มีส่วนช่วยดูอุปนิสัยและหน่วยก้านของผู้ที่จะมาเป็นสามีของลูกสาวและเหมาะสมที่จะมาเป็นลูกเขยของตนได้

เมื่อลูกสาวพอใจ พ่อ-แม่เห็นดีเห็นงามด้วย ทั้งสองจะยกระดับฐานะเป็น “ตัวพ่อ ตัวแม่” คือเป็นคู่รักกัน ไปมาหาสู่กันระยะหนึ่ง ถึงกาลอันเหมาะสม ฝ่ายชายจะขอให้พ่อ-แม่และญาติผู้ใหญ่มา “จ๋า” คือเจรจาสู่ขอตามประเพณี ก่อนจะเข้าสู่พิธีแต่งงานอยู่กินกันต่อไป

การแอ่วสาวของคนล้านนาเป็นจารีตเสาะแสวงหาคู่ครองที่งดงามด้วยศิลปะการใช้ภาษา ทั้งในเชิงปฏิพากย์ ปฏิภาณและกวีศิลป์ โดยมีจริยธรรม กติกาและมารยาทพื้นฐานเป็นสิ่งยึดถือปฏิบัติต่อกันทั้งสองฝ่าย จึงถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าทางสังคมมาแต่อดีต

ซึ่งปัจจุบันการแอ่วสาวเลือนหายไปจากวิถีชีวิตของชาวล้านนาโดยสิ้นเชิง เหลือไว้แต่ความทรงจำของผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยร่วมสมัยเพียงไม่กี่คน

 

กำว่าป้อตั๋วแม่ บ่าเดี่ยวนี้ก็เป๋นแฟนกันนั้นแล

แปลว่า คำว่า “ตัวพ่อตัวแม่” ก็คือแฟนในสมัยนี้นั่นเอง