ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 กรกฎาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ดังได้สดับมา |
ผู้เขียน | วิเวกา นาคร |
เผยแพร่ |
ความจริงที่ท่านพุทธทาสภิกขุตอบและนำมาให้อ่านกันก็หมดสิ้นกระแสความและมากด้วยความแจ่มชัดตรงเป้า
จุดสำคัญก็คือ “มะพร้าวนาฬิเกร์ กลางทะเล ขี้ผึ้ง”
แต่ละบรรทัดที่เหลืออยู่ คือการทำความกระจ่างในอุปมาฉันใด อุปไมยฉันนั้นในเรื่องของทะเล ในเรื่องของขี้ผึ้ง และในเรื่องของมะพร้าว
โดยพื้นฐานคือ “เพลงกล่อมเด็ก”
แต่เมื่อนำมาอธิบายและตีความโดยท่านพุทธทาสภิกขุก็อิงอยู่กับ “วัฏฏสงสาร” และอิงอยู่กับ “พระนิพพาน”
มองเห็นอย่างเป็น “รูปธรรม”
“ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง” สะท้อนให้เห็นทั้งความใกล้ สะท้อนให้เห็นทั้งความไกล นั่นก็ขึ้นว่าดำรงอยู่ ณ จุดใด
ยิ่งอ่านยิ่งเห็นในความลุ่มลึก
1 ความลุ่มลึกของคนโบราณที่คิดประดิษฐ์สร้าง “เพลงกล่อมเด็ก” 1 ความลุ่มลึกของชาวบ้านกับความเชื่อมั่น ศรัทธาในทางศาสนา
และ 1 คือความลุ่มลึกในการตีความและอธิบายโดยท่านพุทธทาสภิกขุ
จำเป็นต้องอ่าน จำเป็นต้องติดตามเอกภาพและความสัมพันธ์ระหว่าง “วัฏฏสงสาร” กับ “พระนิพพาน”
ต้องอ่าน
ถ้าเหนือวัฏฏสงสารมันก็อยู่เหนือวัฏฏสงสารที่เรามองเห็นได้อยู่ว่า อำนาจอิทธิพลของวัฏฏสงสารทำอะไรแก่ “นิพพาน” ไม่ได้
ถึงกับพูดว่า ที่นั่นฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง
ที่นั่นถึงได้แต่ผู้พ้นบุญ คนพ้นบาปมาแล้วมาติดอยู่ที่บุญ พ้นบุญแล้วจึงจะไปที่นั่น คือ “พระนิพพาน”
นี่เราจึงยืนยันอยู่ตลอดเวลาว่า ค้น “พระนิพพาน” นั้นต้องดูที่วัฏฏสงสารและดับมันเสียให้ได้
ถ้าต้องการความเย็นก็ดับความร้อนเสีย ดับความร้อนที่ไหนก็มีความเย็นที่นั่น ดับวัฏฏสงสารที่ไหนก็มี “พระนิพพาน” ที่นั่น
ดับกิเลสที่ไหนก็มี “พระนิพพาน” ที่นั่น
ดับน้อยก็มีน้อย ดับมากก็มีมาก ดับชั่วคราวก็มีชั่วคราว ดับถาวรก็มีถาวร ฉะนั้น อย่าไปค้นหาที่อื่นเลย
จะดับทุกข์ต้องดับที่ความทุกข์
อย่าเอาไปไว้คนละคราว คนละแห่ง ความทุกข์อยู่ที่บ้าน เครื่องดับทุกข์อยู่ที่วัด แล้วเมื่อไรมันจะเจอกัน เมื่อมันมีความทุกข์ที่ตรงไหนมันก็ต้องดับทุกข์ที่นั่น
ฉะนั้น ขอยืนยันต่อไปว่าให้ค้นหา “นิพพาน” ในวัฏฏสงสาร หรือค้นหาความเย็นที่สุดกลางเตาหลอมเหล็กที่กำลังชุกโชนอยู่ ถ้าโง่ก็คงฟังสำนวนอย่างนี้ไม่ออก ถ้าไม่โง่เกินไปก็คงจะฟังออกว่าดับทุกข์ก็ต้องดับที่ความทุกข์
ดับร้อนก็ต้องดับที่ความร้อน ดับวัฏฏสงสารก็ต้องดับที่วัฏฏสงสาร
เราจึงจะได้ความเย็นหรือ “พระนิพพาน” มาที่นั้นเอง ตรงนั้นเอง ยืนยันว่า ตรงนั้นเอง
เมื่อท่านพุทธทาสภิกขุถามหาคำถามต่อไป คำถามนั้นก็ปรากฏขึ้นโดยพลัน “เขากล่าวหาท่านอาจารย์ว่า สอนว่าในจิตดวงเดียวกันนั่นเองมีทั้ง “พระนิพพาน” และ “วัฏฏสงสาร” นี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรครับ”
ก็สอดรับกับ “ข้อกล่าวหา” ก่อน
“นี่ภาษาที่เราไม่ได้พูด เขาก็ว่าพูด” คือประโยคแรกที่ท่านพุทธทาสภิกขุตอบเมื่อรับฟัง “คำถาม”
“จิตเป็นดวงๆ นี้ เราไม่ได้พูด” ท่านย้ำ
“พูดแต่ว่าจิตนั้นน่ะมันมีภาวะที่รู้อะไรได้ รู้สึกอะไรได้ ตรงตามความหมายของคำว่าจิต คิดนึกก็ได้ รู้สึกอะไรก็ได้ ทีนี้ด้วยจิตอันนี้แหละถ้ามันไปปรุงแต่งกันผิดเข้ามันก็เป็นวัฏฏสงสารขึ้นมา
“หรือว่าด้วยจิตอันนี้แหละถ้าปฏิบัติถูกต้องมันก็เป็น “พระนิพพาน” ขึ้นมา
“ในจิตดวงเดียว ในจิตดวงเดียวในขณะเดียวจะมีทั้ง 2 อย่างไม่ได้ มันต้องเป็นคนละขณะจิตเสมอ
“เมื่อเขาพูดว่าจิตดวงเดียวเราก็ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร
“ในดวงเดียวกันนั้นมีทั้ง “พระนิพพาน” และ “วัฏฏสงสาร” อย่างนี้เราไม่เคยพูด เราไม่ยอมรับและเราไม่เชื่อว่าอย่างนั้น”
นี่คือขั้นตอนแรกของ “คำตอบ”
เพราะว่าการตีความของท่านพุทธทาสภิกขุ “วัฏฏสงสาร” มิได้เป็นเรื่องของการข้ามภพ ข้ามชาติ หากแต่เป็นเรื่องของ “ความคิด”
การดับ “วัฏฏสงสาร” คือจุดเริ่มต้นแห่ง “พระนิพพาน”
เหมือนกับเป็นเรื่องในทาง “ความคิด” แต่อย่าลืมเป็นอันขาดว่ากระบวนการในทางความคิดนั้นดำรงอยู่ภายในกระสวนของการปฏิบัติ
การปฏิบัติทาง “จิต” นั่นเองที่ก่อกำเนิดแห่ง “พระพุทธเจ้า”