ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 กรกฎาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ชกคาดเชือก |
เผยแพร่ |
ชกคาดเชือก
วงค์ ตาวัน
หมิงตี้-โควิด-อาวุธ
ขณะที่ประชาชนคนไทยกำลังตกอยู่ในสถานการณ์โควิดอันวิกฤต เนื่องจากวัคซีนยังมาอย่างล่าช้า และมีปัญหาคุณภาพ จนเกิดเสียงเรียกร้องอื้ออึงต่อรัฐบาลให้เร่งจัดหามาให้เพียงพอและต้องเป็นชนิดที่ทั่วโลกใช้แล้วป้องกันได้ผลในทุกสายพันธุ์
พร้อมทั้งเกิดคำถามว่า ทำไมรัฐบาลจึงไม่ตัดงบประมาณด้านอื่น เพื่อนำมาทุ่มซื้อวัคซีนให้มากและดีกว่านี้ เพราะวัคซีนทั้งหยุดโควิดและทั้งฟื้นเศรษฐกิจกลับคืนมา
แต่นี่โรคยังระบาดหนัก รายได้ปากท้องประชาชนก็ยังลำบาก มีทั้งคนตายด้วยโควิดมากมาย และฆ่าตัวตายเพราะปัญหาหนี้สิน
ประเด็นการจัดเงินงบประมาณ โดยยังห่วงใยความมั่นคงและการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ มากกว่าจะทุ่มเทงบประมาณส่วนใหญ่มาให้กับการรักษาชีวิตประชาชนและฟื้นฟูธุรกิจการค้า ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
ระหว่างนี้เองวินาศภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นซ้ำเติมประชาชน โดยเกิดเหตุสารเคมีระเบิดและไฟไหม้ใหญ่ ที่โรงงานหมิงตี้ ย่านบางพลี สมุทรปราการ
แล้วภาพที่ปรากฏต่อสายตาประชาชนซึ่งติดตามข่าวสารเหตุการณ์นี้อย่างระทึกขวัญ ก็คือการระดมกำลังเข้าระงับเหตุ ทั้งดับไฟที่โหมไหม้ลุกโชนและป้องกันไม่ให้สารเคมีระเบิดซ้ำอีก
โดยการทำงานของเจ้าหน้าที่กู้ภัย หน่วยดับเพลิง และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เต็มไปด้วยความสุ่งเสี่ยง แต่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากพอ
ทำเอาเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องเสียชีวิตกลางกองเพลิงไป 1 ราย
ที่ดูจะทันสมัยที่สุดคือ เฮลิคอปเตอร์ของกรมป้องกันและเบรรเทาสาธารณภัย ที่บินโปรยโฟมเพื่อใช้ดับไฟ ซึ่งก็พบว่ามีเพียงไม่กี่ลำ
ทั้งหลายทั้งปวงจึงเกิดคำถามจากชาวบ้านขึ้นมาว่า เราจะเอาเรือดำน้ำมาดับไฟไหม้ใหญ่ครั้งนี้ได้หรือไม่!?
เป็นคำถามเชิงประชดประชัน ถึงการจัดเงินงบประมาณของรัฐบาลนี้
เป็นคำถามที่เกิดขึ้นตั้งแต่สถานการณ์โควิดระบาดหนัก ว่าทำไมรัฐบาลจึงไม่ยอมตัดงบประมาณด้านต่างๆ เพื่อเน้นให้กับการแก้โควิด การซื้อวัคซีน และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
งบประมาณสำหรับสู้รบในสงครามที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะต้องไปรบพุ่งกับใคร อีกทั้งสงครามยุคใหม่ก็เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปสู่สงครามที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงแล้ว
แต่รัฐบาลก็ยังเดินหน้าเสริมความมั่นคงเสริมเขี้ยวเล็บให้กองทัพต่อไป
ส่วนสงครามเชื้อโรคที่เห็นๆ กำลังระบาดหนัก ล้มตาย เจ็บป่วย ไปจนถึงทำเศรษฐกิจพังทลาย กลับไม่ได้รับการจัดสรรให้มากมายเป็นพิเศษ
ไปจนถึงเมื่อเกิดระเบิดและไฟไหม้โรงงานรุนแรง เป็นภัยพิบัติที่กระทบต่อประชาชนในวงกว้างอย่างชัดเจน ก็ยังคงรับมือกันด้วยเครื่องมือพื้นๆ
ความจริงประเทศเราได้ผ่านเหตุการณ์โรงงานระเบิดและไฟไหม้มาหลายหน ทุกครั้งก็เรียกร้องให้รัฐบาลยกระดับมาตรฐานการป้องกันสาธารณภัยใจกลางเมือง ให้เป็นเรื่องเป็นราว เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ได้รวดเร็ว และลดผลกระทบต่อประชาชนในรัศมีรอบๆ ที่เกิดเหตุ
แต่ผ่านมาหลายปี มาจนถึงเหตุการณ์ที่โรงงานหมิงตี้ครั้งนี้ ดูเหมือนการระดมเจ้าหน้าที่เข้าคลี่คลายเหตุการณ์ก็ยังคงเป็นภาพเดิมๆ อาจจะมีพัฒนาทันสมัยขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่มากมายไม่จริงจังนัก
หลังเกิดเหตุก็ได้เห็นเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัยของมูลนิธิต่างๆ ระดมกันเข้ามาอย่างเอาการเอางาน
แต่ก็เต็มไปด้วยความสุ่มเสี่ยงอันตราย บุกตะลุยกันด้วยหัวใจและจิตใจ ไม่มีเครื่องป้องกันตัวเองที่สมบูรณ์พร้อม
ขณะเดียวกันหน่วยงานของรัฐที่จะต้องเข้ามาเป็นศูนย์บัญชาการเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ โดยมีระบบแบบแผน พร้อมเครื่องมือที่ทันสมัยไฮเทค ก็ดูจะไม่เห็นอะไรชัดเจนนัก
ส่วนอุปกรณ์หลัก ไม่ว่าจะเป็นรถดับเพลิงขนาดใหญ่ รถกู้ภัยที่มีอุปกรณ์ทันสมัย หรือแม้แต่เฮลิคอปเตอร์ที่นำมาใช้โปรยโฟมใส่กองเพลิง ก็ยังคงมีใช้อย่างจำกัด
กรณีระเบิดและไฟไหม้โรงงานหมิงตี้ จึงบ่งบอกให้เห็นถึงความไม่พร้อมมากเพียงพอ ของระบบแก้ไขปัญหาสาธารณภัยในบ้านเรา
ภาพที่ปรากฏต่อสายตาประชาชน ที่เฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความห่วงใยในชีวิตของเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย หน่วยดับเพลิงต่างๆ
จึงได้เห็นถึงการไม่ทุ่มเทด้านงบประมาณเพื่อการป้องกันภัยที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน
เหตุการณ์ที่โรงงานหมิงตี้ นอกจากจะทำให้บ้านเรือนประชาชนที่อยู่รอบๆ พังเสียหายนับร้อยหลัง ได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมาก
ผลจากควันไฟที่เต็มไปด้วยพิษรุนแรง ยังไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชาวบ้านอีกมากน้อยแค่ไหน
แล้วเชื่อว่า เสียงเรียกร้องให้ยกระดับงานป้องกันภัยพิบัติแบบนี้ ก็คงซาลงไปหลังเหตุการณ์ผ่านพ้นไป และไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง!
กรณีโรงงานหมิงตี้ จึงเป็นเหมือนเรื่องตอกย้ำอารมณ์ความรู้สึกของประชาชน ที่กำลังไม่พึงพอใจต่อรัฐบาลที่ไม่ทุ่มเทงบประมาณ เพื่อจัดหาวัคซีนมาให้เร็วให้มากและให้ดี มาจนถึงเหตุโรงงานระเบิดไฟไหม้ ก็ไม่เห็นการจัดสรรเครื่องไม้เครื่องมือที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ
โควิดนั้น บรรดาแพทย์และบุคลากรต่างๆ ต้องรับมือกับไวรัสร้าย โดยไม่มีเกราะคุ้มครองป้องกัน ได้ฉีดเพียงแค่วัคซีนซิโนแวคเท่านั้น
ไม่ต่างจากเจ้าหน้าที่กู้ภัย ที่ต้องเผชิญกับเปลวเพลิงและการระเบิดของสารเคมี โดยไม่มีเกราะดีๆ ป้องกันตัวเอง และไม่มีเครื่องมือดีๆ สำหรับหยุดยั้งเหตุการณ์
ส่วนประชาชนก็ไม่ได้วัคซีนที่มาอย่างเร็วและมากคุณภาพ ทำให้ต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ไปจนถึงเมื่อยังแพร่ระบาดหนัก การค้าขายก็ต้องโดนปิดล็อก ขาดแคลนรายได้ หนี้สินพอกพูน
ครั้นเห็นการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลก็ยิ่งเจ็บช้ำใจ เพราะเรือดำน้ำรวมทั้งอาวุธมูลค่าสูงๆ ยังไม่โดนตัดงบประมาณลงไป
คนในรัฐบาลและบรรดา ส.ว. ได้พากันออกมาอธิบายถึงเหตุผลที่ยังต้องจัดงบประมาณด้านกลาโหมเป็นไปตามปกติ
ราวกับว่าโลกนี้และประเทศนี้ ไม่ได้มีวิกฤตโรคระบาดร้ายแรง ไม่มีคนป่วยคนตาย ไม่มีธุรกิจกิจการต่างๆ ต้องปิดตัว คนตกงานจำนวนมาก ยังมองไม่เห็นแนวโน้มว่าเศรษฐกิจไทยจะโงหัวขึ้นมาได้เมื่อไร
โดยเสียงชี้แจงเพื่อปกป้องงบประมาณด้านกลาโหม พากันยืนยันว่าประเทศต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ต้องมีอาวุธที่ทันสมัยตลอดเวลาเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศชาติ
ทั้งที่สงครามที่กล่าวอ้างนั้น ยังไม่มีใครเห็น และยุคนี้รูปแบบของสงครามก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว
ขณะที่ภัยคุกคามชีวิตของประชาชนโดยโควิด กำลังทำร้ายกันเห็นๆ เจ็บป่วยล้มตายกันมากมาย เศรษฐกิจปากท้องก็พังพินาศ
เช่นเดียวกับกรณีโรงงานระเบิดไฟไหม้ ที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ เป็นภัยพิบัติที่มองเห็นผลเสียหายรุนแรงชัดเจน
ต้องคลี่คลายป้องกันตามมีตามเกิดกันต่อไป
ทุ่มเทเตรียมพร้อมกับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น แต่ที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับแก้ไขอย่างขาดแคลน!